วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

องุ่น ต้านอนุมูลอิสระ ชลอวัย ห่างไกลโรค

องุ่น ต้านอนุมูลอิสระ ชลอวัย ห่างไกลโรค
องุ่น เป็นผลไม้ที่หลาย ๆ คนชอบรับประทานมาก เพราะองุ่นมีสีสันที่หลากหลายสวยงาม สีแดง สีเขียว สีดำ โดยเฉพาะองุ่นที่เป็นพวง ๆ เราจะชอบรับประทานเป็นที่สุด เพราะว่ามันได้อารมณ์ไปอีกแบบ ซึ่งหลาย ๆ ท่านคงยากที่ปฏิเสธ โดยเฉพาะหากได้รับประทานในไร่องุ่นพร้อมถ่ายรูปมาโชว์แล้วมันอร่อยอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

ใครจะรู้ไหมว่าองุ่นนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร  หรือว่าเขาบอกว่าดีก็รับประทานตามเขาไป เราลองไปดูข้อมูลกันสักหน่อยดีกว่าว่าคุณประโยชน์ขององุ่นเป็นอย่างไรบ้าง
1. ต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะสารสกัดที่เอามาจากเมล็ด ซึ่งจะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายได้อย่างดี และต่อต้านเซลล์มะเร็๋งได้อีกด้วย
2. ช่วยทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นได้ดี  ไม่เปราะง่าย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดเส้นเืลือดแตกนั้นเอง  เพราะฉะนั้นองุ่นจึงช่วยลดเส้นเลือดไม่ให้เปราะง่าย และรวมไปถึงริดสีดวงทวาร
3.ลดอาการแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน  ซึ่งเจ้าโรคเบาหวานเป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมโทรมของระบบในร่างกาย  ซึ่งมีผลทำให้เกิดโรคอื่น ๆ แทรกซ้อนมากมาย  ซึ่งใครเป็นโรคเบาหวานจะรู้ดีว่ามันคุมยาก  หากไม่มีความตั้งใจในการดูแลร่างกายของเราอย่างจริงจัง  โรคอื่น ๆ จะตามมาแน่นอน
4.ช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือด  ทำงานได้ดีขึ้นโดยลำดับ ซึ่งองุ่นหากนำเอาเมล็ดมาสกัดก็จะได้สารที่ช่วยป้องกันมิให้หลอดเลือดมีตะกอนซึ่งจะส่งผลให้เลือดเดินทางเข้าหัวใจยากขึ้น  จึงส่งผลถึงโรคหัวใจนั่นเอง
5.อาการภูมิแพ้ต่าง ๆ ซึ่งไม่โรคภูมิแพ้กรุงเทพฯ แต่ต่างจังหวัดก็สามารถเป็นไปเช่นกัน  เพราะฉะนั้นสารสกัดจากเมล็ดองุ่นจึงส่งผลช่วยให้ใครที่ชอบเป็นโรคภูมิแพ้ดีขึ้น  รวมถึงหอบหืดก็จะลดลงด้วยเช่นกัน
6. ลดการอักเสบต่าง ๆ ในร่างกาย  ซึ่งเจ้าองุ่นนี้มีเอมไซน์ตัวหนึ่งที่มีความสามารถในการยับยั้งเอมไซน์ที่เป็นต้นเหตุของการอักเสบในร่างกาย ซึ่งสามารถบรรเทาอาการปวดบวมได้ดี
7.ชลอความแก่ก่อนวัยอันควร  ซึ่งใครหลาย ๆ คนชอบแน่นอนโดยเฉพาะท่านสุภาพสตรี หรือแม้่แต่สุภาพบุรุษก็ตาม ย่อมไม่มีใครอยากมีริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอันสมควร หากทราบสรรพคุณข้อนี้แล้วก็รีบไปหาซื้อองุ่นใกล้บ้านมารับประทานกันน่ะบัดนาว
8.ลดอาการฝ้า กระ จุดด่างดำ ซึ่งเป็นที่รังเกียจของท่านสุภาพสตรีอย่างมาก ถึงมากที่สุดเลยก็ว่าได้ บางท่านอายุไม่มาก แต่มีจุดอันไม่พึงประสงค์มาเยี่ยมเยือนบริเวณหน้าตาของท่าน เพราะฉะนั้นท่านจะต้องรู้ถึงวิธีการดูแล บำรุงร่างกายให้ควบคู่กันไป
9.มะเร็ง ตัวฉกาจที่ใครทุก ๆ คนไม่ปารถนาแน่นอน บางคนพูดสนุกปากว่า มาเร็ง  ไม่ได้มายิง  ไม่กลัวหรอก  แต่แท้จริงแล้วในส่วนลึกของจิตใจแล้วไม่มีใครอยากเป็นแน่นอน ฉะนั้นเราจึงต้องมีวิธีการดูแลตัวเอง อย่างน้อย ๆ ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย  จริงไหมครับพี่น้อง

วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

น้ำทับทิม คุณประโยชน์มากมายจากผลการวิจัยทางการแพทย์

น้ำทับทิม คุณประโยชน์มากมายจากผลการวิจัยทางการแพทย์
มีการวิจัยทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ว่าน้ำทับทิมมีคุณประโยชน์มากมายหลายประการ หากใครที่เชื่อและได้ลองดื่มน้ำทับทิมก็จะเห็นผลเอง ส่วนผู้ที่เชื่อยากก็ต้องรอผู้ที่เชื่ออยู่แล้วว่าผลจากการดื่มน้ำทับทิมเป็นอย่างไรบ้าง ทีนี้เราลองมาดูกันซิว่าประโยชน์ที่ว่านั้นดีอย่างไร
http://thaitopfood.blogspot.com/2013/12/blog-post_5293.html

1. มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก 
2. สามารถลดภาวการณ์สะสมไขมันในผนังเส้นเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตันและแข็งตัว  ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหัวใจ
3. ทำให้เส้นเลือดที่หนาตัว และมีไขมันสะสมซึ่งเป็นเส้นเลือดที่ไม่ดีแล้ว มีความหนาตัวลดลง และลดไขมันที่สะสมลงอีกด้วย
4. บำรุงหัวใจในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โดยเพิ่มการไหลเวียนที่ดีขึ้น และลดภาวะหัวใจขาดเลือดในผู้ป่วยโรคหัวใจ
5. ลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย ประมาณ 5% ในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง ถ้ารับประทานน้ำทับทิมต่อเนื่องวันละ 50 ซีซี ทุก ๆ วัน เป็นเวลาสองสามสัปดาห์
6. บำรุงตับ ป้องกันการเป็นพิษต่อตับได้ ซึ่งตับเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกายอย่้างมาก
7. มีสารต้านอนุมูลอิสระจากน้ำทับทิมมีผลยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม ซึ่งในปัจจุบันพบมากในผู้หญิงไทยในอันดับต้น ๆ ใกล้เคียงกับมะเร็งปากมดลูก
8. สารสกัดน้ำทับทิม ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากของท่านชาย ซึ่งยับยั้งการแบ่งตัวการแพร่กระจาย ซึ่งมีงานวิจัยที่แนะนำให้ผู้ที่ดื่มน้ำทับทิมหวังผลในการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประโยชน์ทั่วไปของสารสกัดทับทิม

ประโยชน์ทั่วไปของสารสกัดทับทิม
น้ำทับทิม มีวิตามินซีสูงและยังมีสารเกลือแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณที่สูงเหมาะสำหับการดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย  นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดและมีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถลดโคเรสเตอรอลในเลือด ส่งผลในการลดตะกอนในเส้นเลือด ลดความเสี่ยงต่อภาวการณ์เกิดโรคกลุ่มหลอดเลือด และหัวใจช่วยเสริมสุขภาพของหัวใจให้ดีขึ้นทั้งยัีงช่วยส่งเสริมสุขภาพผิวพรรณและความสวยความงามได้เป็นอย่างดีมีประสิทธิภาพ  นอกจากนั้นยังมีแมกนีเซียมและแคลเซียมซึ่งเป็นประโยชน์ต่อระบบการฟอกเลือดและการหมุนเวียนของเลือดได้อย่างดี

เรามาดูซิว่าทับทิมมีประโยชน์ส่วนใดบ้าง
เปลือกทับทิม มีสารแทนนินสูงมาก สามารถใช้เป็นยาแก้ท้องเสียได้ รวมถึงโรคบิด นอกจากนั้นยังสามารถฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียได้หลายชนิด ลดการอักเสบ  มีฤทธิ์ต่อต้านและยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิดไม่ให้เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อลูกหมาก เป็นต้น

ใบทับทิม ยังสามารถแก้ท้องร่วงท้องเสียท้องเดิน แก้บิดมูกเลือด และสมานแผล

ดอก แก้อาการหูชั้นในอักเสบ

เนื้อทับทิม เป็นยาระบายอ่อน ๆ บำรุงหัวใจ ป้องกันโลหิตจาง ระงับกลิ่นปาก ลดไข้ แก้ตาอักเสบ หลอดลมอักเสบ และบำรุงสายตาให้ดีสม่ำเสมอ  ซึ่งสายตาในปัจจุบันนับว่าเป็นปัญหาระดับชาติเลยทีเดียว  ปัจจุบันมีผู้ที่มีปัญหาด้ัานสายตาถึงร้อยละ 70 อันเนื่องมาจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น คอมพิวเตอร์ แท็ปเล็ต สมาร์ทโฟน เป็นต้น

มีตำราแพทย์โบราณได้เขียนไว้ในเรื่องคุณประโยชน์ของทับทิมมีดังนี้
1. ช่วยในการฟื้นฟูสู่สภาพเดิมของหัวใจและตับ
2. ช่วยฟอกไตและท่อปัสสวะ
3. ขจัดไขมัีนส่วนเกินอันไม่พึงประสงค์
4.เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงร่างกายให้ดูหนุ่มสาวอยู่เสมอ
5. ปรับปรุงระบบการฟอกเลือดและหมุนเวียนเลือดลมให้ดีอยู่เสมอ
6. ต่อต้านการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศและเพิ่มพลังสมรรถนะทางเพศให้ดีอยู่เสมอ
7. ป้องกันโรคหลง ๆ ลืม ๆ ในผู้สูงอายุ หรือว่าที่เขาเรียกกันคือ อัลไซเมอร์ นั่นเอง
8. ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล พิวพรรณดีสดใจอ่อนกว่าวัย

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ทับทิม มหัศจรรย์ผลไม้เพื่อสุขภาพ และความงาม

ทับทิม มหัศจรรย์ผลไม้เพื่อสุขภาพ และความงาม
ทับทิมเป็นผลไม้ไทย ๆ ที่ผมเองก็เคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แถว ๆ ชนบทบ้านนอก มักจะปลูกอยู่กันแทบทุกบ้าน เป็นผลไม้ที่มีสีสันสวยงาม ซึ่งหลาย ๆ คนคงต้องรู้จักกันแน่นอน  ผลของทับทิมเมื่อแก่เต็มที่ภายในจะมีเมล็ดสีแดงส้มสดเรียงอยู่มากมาย  เวลาเราจะกินผมจำได้ว่าต้องทุบเบา ๆ ให้เปลือกนอกแยกออกก็จะเห็นเมล็ดของทับทิม หลังจากนั้นเราก็ค่อย ๆ ใช้นิ้วแกะเมล็ดกินก็จะได้รสชาตหวาน ๆ อมเปรี้ยวเล็กน้อย ก็ได้ความอร่อยไปอีกแบบหนึ่ง

ทีนี้เราลองมาดูประวัติของเจ้าทับทิมซิว่าเป็นผลไม้จากที่ไหนกัน
ทับทิม เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนดจากเปอร์เซีย ปัจจุบันเป็นประเทศอิหร่าน ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอัฟกานิสถานและทางตอนเหนือของเทือกเขาหิมาลัย  ทับทิมจึงชอบอากาศหนาวเย็นและอยู่บนพื้นที่สูงกว่าระดับทะเลอย่างน้อย 300 เมตร อากาศยิ่งหนาวเมล็ดทับทิมก็จะยิ่งมีสีแดงมากขึ้นเป็นลำดับ   ในอดีตทับทิมถือว่าเป็นผลไำม้ศักดิสิทธิ์ ถูกนำมาใช้เป็นยารักษาโรคตั้งแต่ 8,000 ปีมาแล้ว  ซึ่งปัจจุบันผลทับทิมใช้รับประทานเป็นผลไม้  มีรสหวานหรือเปรี้ยวอมหวาน  ทับทิมเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ  มีการวิจัยทางการแพทย์ของสหรัฐอเมริกา  พบว่าในน้ำทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดทีี่มีประสิทธิภาพสูงมาก  ต่อมาจึงได้มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ไม่ใช่การคาดคะเนอ้อม ๆ กันอีกต่อไปเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของทับทิม  งานวิจัยแรกพบว่าสารจากน้ำทับทิม  สามารถลดภาวะการแข็งตัวของเลือดจากไขมัีนสูงได้  ซึ่งหมายถึงผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง หรือโคเรสเตอรอล หากรับประทานทับทิมเป็นเวลาต่อเนื่องแล้วก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ระบบความดันโลหิตสูงก็ลดลงดีขึ้นโดยลำดับหากรับประทานต่อเนื่อง  อีกทั้งทับทิมยังเป็นยาบำรุงตับอีกด้วย  ซึ่งตับหากได้รับการบำรุงอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้ระบบในร่างกายทำงานได้อย่างสมบูรณ์

ปัจจุบันมีการสกัดน้ำทับทิมผลิตออกมาขายกันมากมายหลายผลิตภัณฑ์  ซึ่งทำให้ง่ายต่อการรับประทานจึงทำให้การรับประทานทับทิมในสมัยนี้จึงง่ายมาก ๆ  ซึ่งเป็นผลดีสำหรับผู้ที่รักสุขภาพได้ซื้อได้หามารับประทานกัน

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ลูกตาล ผลไม้ไทยสรรพคุณไกลทั่วโลก

ลูกตาล ผลไม้ไทยสรรพคุณไกลทั่วโลก
วันนี้ขอพาท่านมารู้จักกับผลไม้ไทย ๆ โบราณที่อยู่คู่เมืองไทยมาช้านานแล้ว  นั่นก็คือ "ตาล"  ลูกตาลถึงแม้จะเป็นผลไม้ไทยที่เรารู้จักมาช้านานแล้วแต่เราอาจจะไม่ค่อยได้รับประทานกันนัก เพราะว่ามีปัจจัยหลายประการด้วยกันคือ หารับประทานยาก เนื่องมาจากต้นตาลในเมืองไทยมีน้อยแล้ว  มิหนำซ้ำยังมีแต่ตัดทำลายทิ้งลงไปเลื่อย ๆ ทำให้คนรุ่นใหม่ ๆ อาจจะแทบไม่รู้จักเลยว่าลูกตาลเขารับประทานกันยังไง และอาหารที่ทำจากลูกตาลนั้นทำอะไรได้บ้าง
ต้นตาลนั้นถือว่าเป็นต้นไม้ที่มีอายุยืนนานมาก และคงสภาพได้ดีแม้จะผ่านกาลเวลานานเป็น 100 ปีก็ยังคงมีสภาพที่ยังอยู่คงที่ หากไม่โดนลม ฟ้า อากาศ เปลี่ยนแปลงไปซะก่อน เช่น ลมพัดหักโค่น ฟ้าผ่ายืนต้นตาย  แต่ลมพัดโค่นนั้นบอกให้เลยว่ายากมาก ๆ  แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้ต้นตาลเกือบจะสูญพันธุ์ก็คือมนุษย์เรานี่เองแหละที่ทำลายเพียงเวลาไม่กี่นาที
ต้นตาล ลูกตาล เป็นไม้ที่เรามักคุ้นเคยในชนบทโดยเฉพาะแถว ๆ เพชรบุรี ราชบุรี  ยังมีให้เห็นกันอยู่มากพอสมควร หรือที่อำเภอสัตหีบก็จะเห็นต้นตาลเรียงรายเป็นทิวแถวเรียกกันว่าอ่าวดงตาล หน้ากองเรือยุทธการ กองทัพเรือ นั่นเอง  ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของอ่าวแห่งนี้   นอกจากนี้เรายังเคยได้ยินชื่อของนักอนุรักษ์ที่เป็นตำรวจที่ชอบใช้เวลาว่างปลูกต้นตาลตามริมถนนหนทางจนเป็นนักอนุรักษ์ดีเด่นของประเทศไทยไปแล้วก็มี  

ลูกตาล เป็นผลไม้ที่มีรสชาดอร่อยหวานมีคุณค่าทางโภชนการสูง สามารถรับประทานกันแบบสด ๆ หรือว่าจะนำไปเชื่อมเป็นของหวานใส่น้ำแข็งก็อร่อยไปอีกแบบหนึ่ง  หากผลแก่ของลูกตาลก็สามารถนำไปทำขนมตาลสีเหลืองทองโรยหน้าด้วยมะพร้าวขูดอร่อยหอมหวานมาก หากจะรับประทานให้อร่อยแบบดั้งเดิมก็ต้องไปหารับประทานตามถิ่นที่มีลูกตาลอยู่และให้คนพื้นบ้านทำกินเอง รับรองว่าอร่อยมากเพราะจะมีเนื้อของตาลในปริมาณมาก  ทำให้รู้สึกได้ถึงรสชาดของขนมตาลแบบแท้ ๆ ดั้งเดิมเลยทีเดียว
ลูกตาลหากแก่แล้วก็ยังสามารถรับประทานได้อีกแต่ก็ต้องมีขั้นตอนในการทำ ลูกตาลแก่ที่เราสามารถรับประทานได้นั้นคือ จาวตาล  ซึ่งอยู่ด้านในของลูกตาลมีเปลือกแข็งห่อหุ้มเรียกว่าเม็ดตาลนั้นเอง วิธีการคือเรานำลูกตาลที่แก่แล้วไปฝังดินพอมิดทิ้งไว้สักระยะหนึ่งจะสังเกตุเห็นรากงอกออกมาแทงดินก็แสดงว่าเกิดเป็นจาวตาลขึ้นแล้ว  เราก็นำไปผ่าออกมารับประทานได้เลย หรือว่าจะำนำไปเชื่อมก็ได้

สำหรับใบตาลนั้นมีประโยชน์มากมายหลายประการ ใช้ทำเป็นหลังคาบ้านได้เพราะว่าใบตาลนั้นมีขนาดใหญ่และแผ่กางออกทำให้สามารถใช้เป็นที่หลบแดดหลบฝนได้เป็นอย่างดี คนในชนบทนิยมนำมามุงหลังคาที่พักสำหรับทำไร่ทำนาเรียกว่า กระท่อม  ขะหนำ ห้างนา เขียงนา ซึ่งก็แล้วแต่จะเรียกตามถิ่นที่อยู่ในภาคต่าง ๆ      นอกจากใบตาลจะใช้มุงหลังคากันแดดกันฝนแล้ว ใบตาลสดยังสามารถนำมาทำขนมได้อีกด้วย เช่น ขนมเปียกปูน โดยใช้ใบสด นำมาเผาแล้วนำเถ้าถ่านสีดำมาทำเป็นขนม ซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้ว่าใบตาลก็นำมาทำขนมได้  
นับว่าต้นตาลมีประโยชน์มากมายมหาศาล ตั้งแต่ลูกตาล ใบตาล เกษรตาล(งวงตาล) จาวตาล ต้นตาล มีประโยชน์ทั้งมหดเลย เราควรที่จะอนุรักษ์ต้นไม้เก่าแก่ให้คงอยู่กับบ้านเมืองเราไม่อีกนานเท่านาน เพื่อให้ลูกหลานไทยเราได้เห็นต้นตาลเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยเราตราบนานเท่านาน

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หวาน มัน เค็ม 3 อย่างอันตราย

หวาน มัน เค็ม 3 อย่างอันตราย
ได้ฟังวิทยุและทีวี รวมทั้งสื่อออนไลน์ทั้งหลาย ออกประกาศเตือนเกี่ยวการบริโภค หวาน มัน เค็ม  ซึ่งถือได้ว่าคนไทยในปัจจุบันนี้ รับประทานอาหารประเภท หวาน มัน เค็ม กันมากขึ้น  ทำให้มีปัญหาด้านสุขภาพตามมาอย่างมากมาย  เช่น โรคความดันโลหิต โรคไขมัน โรคไต โรคเบาหวาน เป็นต้น  

อาหารหวาน อาหารมัน อาหารเค็ม นั้นมีโทษต่อร่างกายอย่างไรบ้างนั้น  หลายท่านก็ทราบกันดี แต่ก็ยังติดใจในรสชาดของอาหาร บางคนบอกว่ามันเคยชินไปเสียแล้ว หากไม่อร่อยก็ไม่รู้ว่าจะรับประทานไปทำำไม    มันก็จริงสำหรับคำตอบเหล่านั้น      แต่บางคนก็ไม่ทราบเลยว่ารับประทานหวานมากไป มันมากไป เค็มมากไป จะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งไม่รู้ไม่ทราบเลย  โดยเฉพาะเด็ก ๆ ในปัจจุบันจะเห็นว่าชอบรับประทานขนมขบเคี้ยวกันมาก โดยที่พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ได้ห้าม แถมยังชอบซื้อให้ลูกรับประทานเสียด้วยซ้ำไป  เห็นว่าลูกชอบ (มันฝรั่ง) ขนมประเภทนี้ก็ซื้อมาฝากลูกหลาน ไม่อยากที่จะขัดใจลูกหลาน   อย่างนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่สะสมโรคร้ายต่าง ๆ เช่น โรคความดันโลหิต โรคเบาหวาน โรคไต โรคไขมัน ตั้งแต่วันเด็กกันทีเดียว

เราลองมาดูกันซิว่าอาหารหวาน อาหารมัน อาหารเค็มนี้มีอันตรายอย่างไร และอยู่ในอาหารประเภทไหนกันบ้าง 

โรคเบาหวาน คือผู้ที่มีปริมาณน้ำตาลในเลือก หรือในปัสสะวะ เกิน 126 มก/ดล. 

โรคความดันโลหิตสูง  คือ ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงเกิน 140/90

โรคไขมัน  ซึ่งมีอยู่ 2 ตัว คือ คลอเรสเตอรอล และ ไตรกลีเซอร์ไรค์  ซึ่งถ้ามีมากเกินไปก็จะทำให้หลอดเลือดตีบ ทำให้เลือดไหวเวียนได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงเป็นเหตุของโรคต่าง ๆ ตามมา เช่นโรคความดันโลหิตสูง 
 คลอเรสเตอรอลรวม ค่าปกติควรไม่เกิน 200 มก./ดล.  หากใครไปตรวจแล้วสูงกว่านี้ก็ต้องหมั่นดูแลสุขภาพให้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้นยังมีไขมันอีก 2 ตัว คือ
LDL คือ ไขมันเลว ที่ำทำให้เกิดโรคต่าง ๆ มากมายก็ตัวนี้แหละ ค่าปกติไม่ควรเกิน 130 มก./ดล.
HDL คือ ไขมันดี  ค่าปกติต้องมีไม่น้อยกว่า 35 มก./ดล.   

HDL ไขมันดี มีอะไรบ้าง   สำหรับเจ้าไขมันดีนั้นก็มีอยู่มากมายเช่น ไขมันไม่อิ่มตัว (UNSATURATED FAT) จะพิมพ์อยู่ด้านข้างผลิตภัณฑ์  ,โอเมก้า 3, เลซิติน หากรับประทานไขมันดีมาก ๆ ก็จะช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดอุดตันที่หัวใจได้อย่างดีเยี่ยม  


สำหรับผู้มีเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด  มีวิธีแก้ไขอย่างไร

1.หญ้าปัญจขันธ์  (เจี่ยวกู่หลาน)
2.เห็ดหลินจือ
3.กระเจี๊ยบแดง
4.ดอกคำฝอย
5.ออกกำลังกาย
6.นั่งสมาธิทำจิตใจให้ผ่องใส

ข้อ 5 และ ข้อ 6 นั้นเป็นวิธีที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง หากเราทำทุกวัน ๆ ละ ไม่น้อยกว่า 30 นาที ก็จะทำให้สุขภาพร่างกายและจิตใจแข็งแรง  ไม่เชื่อลองทำดูก็ได้    

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ลูกพรุน สรรพคุณดี ช่วยเรื่องท้องผูก ลดโคเรสเตอรอล

ลูกพรุน สรรพคุณดี ช่วยเรื่องท้องผูก ลดโคเรสเตอรอล
ลูกพรุ เป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่แถว ๆ จีน ญี่ปุ่น และอเมริกา และที่มี่ชื่อเสียงก็เป็นของอเมริกา ลูกพรุนถือว่าเป็นราชาผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง ลูกพรุนจึงให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากจริง ๆ สำหรับใคร ๆ ที่มีประสบการณ์เรื่องการรับประทานลูกพรุนมาแล้ว คงไม่ต้องบอกก็สามารถพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า ลูกพรุน ดีจริง ๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำ การขับถ่ายไม่สะดวก หรือขับถ่ายแข็ง ขับถ่ายยาก ซึ่งคงไม่ต้องบรรยายมาก เพราะว่าเป็นความลำบากจริง ๆ หากใครไม่เป็นแล้วก็จะไม่รู้จริง ๆ เลยว่าการรับประทานลูกพรุนช่วยได้จริง ๆ 


ลูกพรุน นอกจากจะช่วยในเรื่องการขับถ่าย ท้องผูกแล้ว  ยังมีสรรพคุณที่ดีมีประโยชน์อีกมากมาย ซึ่งผมเองก็จะนำมาบอกกล่าวกันต่อไป    สำหรับลูกพรุนนั้น เป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดทางแถบยุโรปและแถว ๆ อเมริกาเหนือโ่น่น  ซึ่งการนำลูกพรุนมารับประทานได้ทั้งผลสด ๆ เลย  หรือว่าจะนำลูกพรุนมาตากแห้งก็จะเก็บไว้ได้นานอีกด้วย  หรือนำมาแปรรูปเป็นน้ำพรุนสกัดก็ดีมากเพราะรับประทานง่าย ซึ่งปัจจุบันนี้นิยมมากเลย ซึ่งหลายบริษัทต่างนำมาทำน้ำพรุนสกัดโฆษณากันทางทีวี

สำหรับสรรพคุณของลูกพรุนนั้น ผมได้ทดลองให้คุณพ่อรับประทาน เนื่องจากคุณพ่อของผมเองนั้นมีปัญหาเรื่องท้องผูก ขับถ่ายยาก และลำบากมาก อุจจาระก็แข็งมันจึงเป็นที่มาของการท้องผูก ขับถ่ายยาก   จากนั้นเองผมก็ได้ศึกษาอย่างจริงจังว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้คุณพ่อของผมมีอาการดีขึ้น และก็ได้มาเจอสรรพคุณของลูกพรุน จึงได้ให้คุณพ่อรับประทานเพียงแค่ 2 กระปุก อาการท้องผูกก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ


ลูกพรุน เราจะหาซื้อได้ที่ไหน ซึ่งหลาย ๆ คนบอกว่าในห้องสรรพสินค้าก็มี มีเพ็กเกจที่แตกต่างกันไป ลูกพรุนกระปุก ลูกพรุนแบบถุง ลูกพรุนแบบแพ็ค สะดวกแบบไหนก็ว่ากันไปก็แล้วกันสำหรับการซื้อหาลูกพรุน

สำหรับของฝากสำหรับผู้หลักผู้ใหญ่ ลูกพรุนก็อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด เพราะว่าคนสูงอายุหากรับประทานลูกพรุนอย่างต่อเนื่องในปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะทำให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นเป็นลำดับ หรือว่าแข็งแรงอยู่เสมอ เพราะว่าลูกพรุนช่วยดูแลระบบภายในต่าง ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

10 ผักสมุนไพร ข้างบ้านมีประโยชน์มากกว่าที่คิด

10 ผักสมุนไพร ข้างบ้านมีประโยชน์มากกว่าที่คิด
วันนี้ขอนำ 10 ผักสมุนไพร ที่อยู่ใกล้ตัวเรา อยู่ข้างบ้านเรา ซึ่งมีประโยชน์มากมาย เป็นทั้งผักและสมุนไพรที่ใคร ๆ อาจหลงลืมที่จะนำมารับประทานกัน ซึ่งผักสมุนไพร 10 อย่างนั้นถือว่าเป็นพืชผักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ  หากนำมาปฏิบัติ นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราก็จะมีประโยชน์มากมาย ทั้งดีต่อสุขภาพร่างกาย และดีต่อสุขภาพเงินในกระเป๋าของเราเอง ซึ่งไม่ต้องไปซื้อหาที่ไหน ๆ มารับประทานนั้นเอง เรามาลองสำรวจผัก 10 อย่างข้างบ้านเราดูซิว่ามีอะไรบ้าง
1. ขิง สมุนไพรรสร้อนแรง แต่ดีต่อสุขภาพนัก กินไล่หวัดได้ดี เหมาะกับบำรุงร่างกายในหน้าฝนและหน้าหนาว น้ำขิงอุ่น ๆ จะช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อน แก้เมารถ ไมเกรน ปวดตามข้อ ลดคอเลสเตอรรอลได้ดีด้วย ส่วนวิธีนำมาใช้ สามารถนำมาใช้ได้ทั้งแก่และอ่อน เหง้าอ่อนใช้ปรุงอาหารคาวหวาน ดับกลิ่นคาวได้ดี จะกินเป็นเครื่องเคียงก็ได้ ส่วนขิงแก่ มักจะนำมาทำเป็นน้ำขิงโดยที่เราไม่ต้องไปซื้อขิงผงขิงซองมาชงกินให้เสียสตังค์
2. สะระแหน่ ถ้าเรารู้จักมิ้นท์ของฝรั่ง เราก็ควรรู้จักสะระแหน่ เพราะตระกูลเดียวกัน กลิ่นของสะระแหน่นั้นจะเย็น ๆ มีสรรพคุณของสะระแหน่เป็นยาเย็น ใช้ดับร้อนได้ดี ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ ลดความเครียด ใบสดของสะระแหน่ สามารถนำมาบดใช้ทาผิวให้ชุ่มชื้นได้ แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ไล่ยุง และบรรเทาอาการปวดได้ดีกว่ายาแก้ปวดเสียด้วย เรามักพบสะระแหน่ได้มากในอาหารประเภท ยำ ลาภ น้ำตก ต้มยำ หรืออาหารรสจัด ก็เพื่อให้บรรเทารสชาติอันเผ็ดร้อนนั่นเอง ลองดูซิว่าข้างบ้า่นเรามีใครปลูกสะระแหน่ไว้ในกระถางบ้างหรือเปล่า
3. แมงลัก สาว ๆ หลายคนรู้จักดี เพราะมักเป็นหนึ่งในส่วนผสมของสูตรอาหารลดความอ้วน จริง ๆ แล้วสรรพคุณของเจ้าแมงลักนั้น มีฤทธิ์เป็นยาระบาย เพราะเมือกสีขาวรอยเมล็ด จะทำให้อุจจาระอ่อนตัวลง ช่วยขับพิษในลำไส้ นอกจากนี้ใบอ่อนมีแคลเซียมสูง บำรุงกระดูกได้ดี ซึ่งแมงลักนั้นเพาะง่ายเพียงแต่โรยเม็ดแก่ ๆ ไว้ในกระบะหรือกระถางข้างบ้านเพียงเท่านี้เจ้าแมงลักก็จะเติบโตให้เราได้เชยชมกัน
4. กระเพรา ใครชอบกินผักกระเพราบ้าง น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก แทบทุกคนต้องเคยทานอาหารเมนูจานนี้แน่นอน รู้หรือไม่ว่า ใบกระเพราเป็นแหล่งของฟอสฟอรัสและวิตามินเอ ในปริมาณสูง ช่วยขับลมในกระเพาะ ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ กระตุ้นการขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมัน ลดการจุกเสียด ป้องกันโรคมะเร็ง หัวใจขาดเลือด ช่วยขับน้ำนมให้สตรีหลังคลอด น้ำคั้นจากใบช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้ ขับเสมหะ ทาผิวแก้กลากเกลื้อน คั่นเอาน้ำหยอดหูแก้ปวดหู ใบสดขยี้ให้มีกลิ่นไล่แมลงได้ หรือไว้ทาหูดก็ดี นอนจากนี้ถ้านำมาต้ม สามารถดื่มบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ กระเพราะการปลูกก็เหมือน ๆ กับแมงลักนั่นเอง เพียงแค่โรยเม็ดแก่ลงดินจะเป็นในกระถางหรือกระบะหรือในดินข้างบ้านเราเท่านั้นเอง
5. โหระพา ผักอีกชนิดที่ให้รสร้อนแรง แต่อุดมด้วยแคลเซียมและเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีส่วนในการป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด มะเร็ง ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ แก้หวัดและขับเหงื่อ ถ้านำเมล็ดไปแช่น้ำ จะนำมารักษาโรคบิดได้ ช่วยให้ลำไส้หล่อลื่นขึ้น โหระพาอยู่ในอาหารพวกแกง ผัด ทอด หรือจะกินสดก็ได้
6. กระชาย กลิ่นหอมแรง สรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ ขับระดูขาว บำรุงร่างกาย ขับลมได้ดี ใช้เหง้าสดทุบพอแตกต้มน้ำดื่มแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ บ้างว่าสามารถช่วยกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย โดยมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "โสมไทย" ใครที่รู้ตัวว่าหย่อนสมรรถภาพทางเพศก็ลองรับประทานกระชายเผื่อว่าอะไร ๆ มันจะดีขึ้นมาน่ะขอบอก
7. ตะไคร้ หลายคนชอบดื่มน้ำ เพราะมีรสชาติเผ็ดนิด ๆ อีกทั้งยังเป็นส่วนผสมสำคัญในต้มยำอีกด้วย คุณประโยชน์ บำรุงธาตุ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว ขับลมในลำไส้ ช่วยให้เจริญอาหาร แก้โรคหืด อหิวาตกโรค บำรุงสมอง แก้เกลื้อน ที่สำคัญถ้าปลูกไว้รอบ ๆ บ้าน จะสามารถไล่ยุงได้ อันนี้จริงหรือไม่ก็ลองไปดูข้างบ้านซิว่าที่ต้นตะไคร้มียุงอยู่หรือเปล่า แต่ต้นตะไคร้ใส่ต้มยำแล้วรับรองว่าอร่อยสุด ๆ เลย
8. ข่า ประดับก็ดี แถมกินก็ได้ประโยชน์ เรามักกินตอนที่มักยังอ่อน หน่ออ่อนหรือช่อดอกอ่อนจะไว้กินกับน้ำพริก รสชาติเผ็ดปร่า เหง้าใช้เป็นเครื่องพริกแกงหรือเครื่องต้มยำ ข้อดีของข่าคือ ช่วยขับลมไม่ให้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้จุกเสียด โรคกระเพาะ ลดไขมัน แก้หลอดลมอักเสบ และยังเป็นยาระบายอ่อน ๆ ด้วย เพราะฉะนั้นต้มยำกุ้งที่ต้นข่าอ่อน ๆ นั่นแหละของดีมีประโยชน์อย่าทิ้งเพราะว่าแก้ปวดท้องดีนักแล
9. พริก รสชาติร้อนแรงจัดจ้าน มีสาระสำคัญที่เรียกว่า แคปไซซิน (Capsaicin) จะกระตุ้นการหลั่งน้ำลาย ช่วยเจริญอาหาร เลือดไหลเวียนได้ดี ช่วยขับลม แก้หวัด ขับเหงื่อ ป้องกันหลอดเลือดตีบตัน ต้อกระจก และมะเร็งบางชนิด พริกปลูกไว้ข้างบ้านเพียงแค่ 2-3 ต้นเท่านั้ก็เพียงพอต่อการกินของเราแล้ว
10. มะกรูด เรามักจะเคยได้ยินว่า น้ำมะกรูดนำมาสระผมได้ แก้รังแคและคันศีรษะ ทำให้ผมดกดำเงางาม แต่ถ้าเราสามารถนำมากินแก้ไอ แก้เจ็บคอ ใช้แทนยาสีฟัน ทำให้เหงือกแข็งแรง กลิ่นของมะกรูดจะช่วยดับกลิ่นคาวในอาหาร ช่วยไล่มดแมลง และมอดในถังข้าวสารได้ด้วย นอกจากนี้ถ้าเรานำมะกรูดมาตากแห้งแล้วบดเป็นผง จะเป็นยาบำรุงเลือดและเป็นยาระบายได้ด้วย

จะเห็นได้ว่าผักสมุนไพร 10 อย่างนั้น เรามักจะคุ้นเคยกันอยู่แล้ัวตั้งแต่เด็ก หากเรามีวิธีการที่จะปลูกไว้รับประทานเอง หรือว่ามีกระถาง กระบะ หรือว่าอะไรก็ตามเพียงเล็กน้อยที่เราสามารถปลูกเองได้ โดยไม่ต้องไปซื้อหา เพียงเท่านี้เราก็ได้ประโยชน์จากผักสมุนไพร 10 อย่างแน่นอน และภูมิใจที่เราปลูกมากับมือตัวเองด้วยซิ

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โรคหัวใจ อันตรายมาก หากไม่รู้่วิธีป้องกัน

โรคหัวใจ อันตรายมาก หากไม่รู้่วิธีป้องกัน
โรคหัวใจถือว่าเป็นภัยเงียบที่อันตรายมาก โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยตรวจสุขภาพประจำปีแล้วยิ่งอันตรายสุด ๆ มองดูแข็งแรง  แต่เผลอแป๊บเดียวน๊อคไปเสียแล้ว  โรคหัวใจถือว่าเป็นโรคที่มีอันดับต้น ๆ ของโรคที่พบในปัจจุบัน ซึ่งหลาย ๆ คนมองข้ามโรคนี้  
โรคหัวใจเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก  ไม่ใช่ปัญหาเล็ก ๆ หรือเรื่องไกลตัวแม้แต่น้อย เพราะมันคร่าชีวิตผู้คนมานักต่อนักแล้ว และสักวันอาจเป็นตัวคุณเองหรือคนที่คุณรักก็ได้ แม้คุณจะบอกว่าเป็นหนุ่มที่ชอบออกกำลังเป็นชีวิตจิตใจแล้วก็ตาม แต่ก็เห็นแล้วว่าบรรดานักกีฬามืออาชีพหลาย ๆ คน ต้องจบชีวิตโรคด้วยโรคหัวใจ ซึ่งถ้าไม่อยากให้โรคหัวใจมาทำร้ายคนสำคัญในชีวิตคุณ ก็ควรดูแลตัวเองและเพื่อน ๆ ให้ดี ด้วยการเลี่ยงอาหารต้องห้าม สาเหตุของโรคหัวใจเหล่านี้ดูว่าคุณยังมีพฤติกรรมการรับประทานแบบนี้อยู่หรือเปล่า  หากมีอยู่ก็ควรหลีกเลี่ยง 

1. ของทอด

          ของทอดแม้ว่าพวกของทอดรสเข้มข้นกินได้ไม่รู้เบื่อ จะอร่อยจนหลาย ๆ คนติดใจเอามากินไปพลางดูหนังเรื่องโปรดไปพลางกันอยู่เป็นประจำ แต่ถ้าต้องการดูแลระบบหัวใจ ก็ควรหักห้ามใจตัวเองจากของพวกนี้บ้างเถอะนะ เพราะมันมีโซเดียมค่อนข้างมาก ที่จะส่งผลให้ความดันของคุณพุ่งสูงขึ้นได้ง่าย ๆ จนกลายเป็นสาเหตุนำไปสู่โรคหัวใจได้  โดยเฉพาะของมัน ๆ เช่น หนังไก่ทอด แค๊ปหมู ลูกชิ้นทอด มันฝรั่งทอด อะไร ๆ ประมาณนี้


2. เนื้อแดง

          เนื้อแดงช่วงนี้คนรักการกินเนื้อคงต้องลด ๆ การกินเนื้อแล้วหันไปบริโภคผักหรือเนื้อปลาแทนไปก่อนซะแล้ว เพราะเนื้อแดงนั้นเต็มไปด้วยคอเลสเตอรอล ที่จะส่งผลให้เส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงหัวใจมีไขมันอุดตันได้ นอกจากนี้พวกสารก่อมะเร็งที่เกิดขึ้นเวลาคุณย่างสเต็กยังส่งผลกระทบต่อหัวใจอีกต่างหาก ซึ่งเนื้่อแดงนั้นมาจากการเลี้ยงสัตว์ที่มีสารเร่งต่าง ๆ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเต้นผิดปรกติ


3. ขนมปังขาว
          ขนมปังขาวถึงแม้ว่ากากใยอาหารในขนมปัง จะช่วยเรื่องระบบการทำงานของหัวใจได้ดี แต่น้ำตาลที่อยู่ในขนมปังพวกนี้ก็สูงมากพอที่จะทำให้คุณเสี่ยงเป็นโรคหัวใจเอาได้ ซึ่งขนมปังขาวนั้นมีกากใยและสารอาหารเพียงน้อยนิด แต่เต็มไปด้วยน้ำตาลมากมาย ที่พอกินเข้าไปแล้ว ก็จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว คุณจึงควรเลี่ยงของพวกนี้เอาไว้ดีกว่า


4. อาหารที่เต็มไปด้วยไขมัน

          อาหารไขมันนอกจากของพวกนี้จะเป็นตัวการทำลายหุ่นสุดเฟิร์มของคุณแล้ว ยังสร้างความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจให้เพิ่มขึ้นด้วยอีกต่างหาก ซึ่งบางทีหลาย ๆ คนก็รู้ดีถึงจุดนี้อยู่แล้ว แต่เผลอไม่ได้เป็นต้องหยิบของที่อุดมไปด้วยไขมันอย่างพิซซ่าเข้าปากอยู่ดี เพราะรสชาติมันแสนจะยั่วน้ำลายซะเหลือเกิน ดังนั้นควรเลี่ยงไว้แต่เนิ่น ๆ ด้วยการไม่เก็บของพวกนี้ไว้ในบ้าน แต่ซื้อผลไม้มาติดตู้เย็นแก้หิวแทนก็แล้วกัน



5. แอลกอฮอลล์

          แอลกอฮอลล์ ถ้าคุณรู้ตัวว่าเป็นคนที่ชอบดื่มเหล้าสังสรรค์กับเพื่อน ๆ บ่อย ๆ แนะนำให้เพลา ๆ ลงเสียบ้าง เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทั้งหลายไม่ได้แค่ทำลายตับของคุณเท่านั้นหรอกนะ แต่มันส่งผลกระทบต่อหัวใจของคุณด้วย โดยมันจะไปกระตุ้นไตรกลีเซอไรด์เพิ่มไขมันในกระแสเลือด ส่งผลให้การส่งเลือดไปเลี้ยงหัวใจติดขัด อีกอย่างสาว ๆ เขาก็ไม่ชอบผู้ชายขี้เมากันนักหรอก รู้แบบนี้แล้วก็ลด ๆ เสียบ้างเถอะ


          โรคหัวใจ เป็นโรคที่เสี่ยงมาก อันตรายมากที่สุด หากคุณยังรักครอบครัวแล้วละก็  ลองตัดใจอาหารพวกนี้ดู แล้วหมั่นออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ รับรองว่าสุขภาพของคุณจะดีขึ้นแน่นอน ทั้งนี้ใช่ว่าคุณจะต้องตัดขาดจากของอร่อยเสียเมื่อไหร่ เพราะพวกผักผลไม้และเนื้อปลา หากปรุงดี ๆ แล้ว ก็มีเมนูที่ทั้งอร่อยและดีกับสุขภาพได้เหมือนกัน ยังไงก็ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินกันดูนะครับ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเอง

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เม็ดแมงลัก หุ่นสวย สุขภาพดี ประโยชน์มากหากรับประทานถูกวิธี

เม็ดแมงลัก หุ่นสวย สุขภาพดี ประโยชน์มากหากรับประทานถูกวิธี
เม็ดแมงลัก เราคงคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วว่าหน้าตาของเจ้าเม็ดแมงลักเป็นอย่างไร มีลักษณะเป็นเม็ดใส ๆ ข้างใสเห็นเม็ดสีดำ ๆ นั้่นเอง ใส่ในน้ำแข็งใส น้ำหวาน รับประทานช่วงอากาศร้อน ๆ อร่อยเหลือหลาย ซึ่งในปัจจุบันมีผู้คนสนใจการรับประทานอาหารสมุนไพรเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น และสมุนไพรบางตัวยังช่วยในเรื่องการขับถ่าย ส่งผลให้ผู้รับประทานมีผิวพรรณ และรูปร่างที่ดีอีกด้วย ซึ่งเม็ดแมงลักเป็นหนึ่งในเมนูสุขภาพที่มีสาว ๆ ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก เพราะเชื่อกันว่า เม็ดแมงลักมีสรรพคุณช่วยเรื่องการลดความอ้วน แต่การรับประทานเม็ดแมงลักดีจริงหรือไม่ วันนี้ได้ข้อมูลจากกระปุกดอทคอมซึ่งมีข้อมูลดี ๆ มีคำตอบมาฝากกัน

          ก่อนจะไปดูเรื่องสรรพคุณของเม็ดแมงลัก เรามาทำความรู้จักกับต้นแมงลักกันก่อนดีกว่า แมงลัก เป็นพืชล้มลุกในสกุลกะเพรา-โหระพา ลักษณะของต้นแมงลักจะคล้ายต้นกะเพรา แต่กลิ่นและใบจะมีสีอ่อนกว่า ลำต้นของแมงลัก จะสูงประมาณ 65 เซนติเมตร มีกลิ่นหอมทุกส่วน ใบเป็นใบเดี่ยว รูปร่างรี ขอบใบเรียบหรือหยักมน ดอกออกช่ออยู่ปลายยอด กลีบดอกมีสีขาว และร่วงง่าย ผลเป็นผลชนิดแห้ง ภายในมี 4 ผลย่อย เรียกว่า เม็ดแมงลัก มีลักษณะกลมยาวสีดำ มีเมือกห่อหุ้ม


ประโยชนของเม็ดแมงลัก
 
          เม็ดแมงลัก ถือเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีราคาถูก และหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป และเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นสมุนไพร ย่อมต้องมีสรรพคุณดี ๆ ที่น่าสนใจหลายอย่าง ส่วนประโยชน์ของเม็ดแมงลักจะมีอะไรบ้างมาดูกันเลยดีกว่า
 
           เม็ดแมงลัก มีสรรพคุณในการเปลี่ยนคลอเรสเตอรอลไปเป็นกรดน้ำดี และยังเพิ่มการขับออกของกรดน้ำดี จึงสามารถลดระดับคลอเรสเตอรอลได้ ซึ่งจะลดได้เฉพาะระดับของ LDL-cholesterol ซึ่งเป็นไขมันไม่ดี แต่ไม่มีผลใด ๆ ต่อ HDL-cholesterol ที่เป็นไขมันดี ดังนั้นการรับประทานเม็ดแมงลักเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจด้วย

           เม็ดแมงลัก มีลักษณะนิ่ม ลื่น กลืนง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาช่วงลำคอ และการที่เม็ดแมงลักพองตัวมาก ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ช้าลง จึงเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องการให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลลดลงด้วย

           เม็ดแมงลัก มีสรรพคุณเป็นยาระบาย เนื่องจากบริเวณเปลือกนอกของเม็ดเป็นสารเมือก และยังมีกากอาหาร ซึ่งช่วยให้ผู้รับประทานสามารถขับถ่ายได้สะดวกยิ่งขึ้น ดังนั้นเม็ดแมงลัก จึงเหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบกินอาหารที่มีกากหรือเส้นใย เช่น ผัก และผลไม้

           เม็ดแมงลัก มีสรรพคุณในการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า ดังนั้นเมื่อนำมารับประทานก่อนอาหารก็จะช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง และสามารถควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานได้เป็นอย่างดี


การรับประทานเม็ดแมงลักลดความอ้วน

          เม็ดแมงลักอาจไม่ได้มีสรรพคุณในการลดน้ำหนักโดยตรง แต่หากต้องการตัวช่วยเพื่อควบคุมการทานรับประทานอาหาร และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น เม็ดแมงลักก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจนะคะ ทั้งนี้ เม็ดแมงลัก สามารถรับประทานได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ รวมทั้งปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรด้วย


 
 วิธีการรับประทานเม็ดแมงลัก ให้ได้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้
 
           ช่วยเรื่องการระบาย : ตักเม็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชา แช่น้ำ 1 แก้วใหญ่ ทิ้งไว้จนกว่าจะพองเต็มที่ แล้วนำมารับประทานก่อนนอน

           ช่วยเรื่องการลดน้ำหนัก : สำหรับคนน้ำหนัก 50-60 กิโลกรัม ให้ตักเม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา แช่น้ำ 1 แก้วใหญ่  ทิ้งไว้จนกว่าจะพองเต็มที่ ทานก่อนอาหาร ทดแทนอาหารเป็นบางมื้อ ถ้าน้ำหนักมากกว่านี้ให้เพิ่มตามส่วน

          สำหรับคนที่ไม่ชอบทานเม็ดแมงลักแบบจืด ๆ ลองนำไปผสมกับเครื่องดื่มอื่น ๆ ก็อาจทำให้รับประทานได้ง่ายขึ้น เช่น น้ำขิง น้ำใบเตย น้ำเต้าหู้ หรือผสมกับเมนุอาหารอย่างโจ๊ก เป็นต้น 


ข้อควรระวังในการรับประทานเม็ดแมงลัก
 
           ก่อนรับประทานต้องแน่ใจว่าแช่เม็ดแมงลักจนพองตัวเต็มที่แล้ว เพราะถ้ารับประทานเม็ดแมงลักที่ยังพองตัวไม่เต็มที่  เมื่อเม็ดแมงลักลงไปอยู่ในท้องก็จะดูดน้ำภายในช่องทางเดินอาหาร ทำให้เม็ดแมงลักจับตัวเป็นก้อนแข็ง และอุดตันลำไส้ จนทำให้เกิดการท้องผูก และท้องอืดมากขึ้น

           ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก หากรับประทานเม็ดแมงลักแทนมื้ออาหาร ควรเลือกรับประทานในบางมื้อ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เป็นโรคขาดสารอาหารได้ เพราะฉะนั้นหากใครต้องการลดน้ำหนักต้องเข้าใจวิธีการนี้ให้ดีไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิดผลเสีย ขาดสารอาหาร ทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้


           การรับประทานแมงลักพร้อมกับยาตัวอื่น ๆ จะมีผลทำให้ร่างกายดูดซึมยาเหล่านั้นได้น้อยลง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยากับเม็ดแมงลักพร้อม ๆ กัน โดยให้เลือกรับประทานยาก่อนสัก 15 นาที ค่อยตามด้วยการรับประทานเม็ดแมงลัก ไม่เช่นนั้นเท่ากับว่าเรารับประทานยาไม่ได้ผลแน่นอน

          เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับข้อมูลของเม็ดแมงลัก หากเราศึกษาให้ละเอียดก็จะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่กับเกร็ดความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับเม็ดแมงลัก เพียงแค่รับประทานเม็ดแมงลัก เราก็จะมีสุขภาพที่ดีควบคู่ไปกับการมีรูปร่างที่สวยงามด้วย ทั้งนี้ การจะลดน้ำหนักด้วยการรับประทานเม็ดแมงลัก ต้องทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย และการควบคุมอาหาร เนื่องจากเม็ดแมงลักไม่ได้ช่วยเรื่องการเผาผลาญแต่อย่างใด ดังนั้น หากจะรับประทานเม็ดแมงลักให้ได้ผล ควรทำอย่างถูกวิธีน่ะครับพี่น้อง

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หัวเผือก-หัวมัน-แห้ว-มันแกว ป้องกันโรคหัวใจ บำรุงสมอง

หัวเผือก-หัวมัน-แห้ว-มันแกว ป้องกันโรคหัวใจ บำรุงสมอง 
กินแห้ว คำ ๆ นี้ หลาย ๆ คนไม่ชอบเลยสำหรับอาหารชนิดนี้ แต่จะมีบ้างไหมที่รู้ว่าแห้วนั้นมีประโยชน์อย่างไร สำหรับสาว ๆ ที่รักหุ่นเท่าชีวิตต้องเลิก "ไดเอต ไดอด" ได้แล้ว เพราะการไม่กินข้าวเย็น งดแป้ง เลี่ยงน้ำตาล อาจทำให้ขาดสารอาหารได้ และสำหรับใครที่ชอบกินขนมจุบจิบ "มัน" ช่วยคุณได้แน่นอน วันนี้ เรามีเกร็ดเล็กน้อยถึงประโยชน์ของพืชหัวมาฝาก แม้ว่าจะยกขบวนมาไม่หมดทุกชนิด แต่ก็รับรองว่าพืชหัว 4 ชนิดต่อไปนี้คือ มันฝรั่ง มันแกว แห้ว และเผือก ซึ่งเราคัดเฉพาะมานี้ดีต่อสุขภาพแน่นอน มีประโยชน์แม้จะทำเป็นของทานเล่น หรือนำไปปรุงเป็นเมนูหลักสุดโปรด
1.มันฝรั่งบำรุงสมอง (Potato)
          มันฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินบี 6 ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมองให้ผลิตสารสื่อประสาทอย่างเป็นปกติ เช่น เซโรโทนิน สารสื่อประสาทที่ช่วยกระตุ้นอารมณ์ และกาบา สารสื่อประสาทที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และอะดรีนาลีน สารสื่อประสาทที่ช่วยลดความเครียด ปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวันคือ ½ -1 ถ้วยตวง (ทั้งประเภทบด และต้มกินทั้งหัว) ไม่ควรกินเกินกว่านี้ เพราะมีกรดแอล-แอสคอร์บิกอยู่ (หรือวิตามินซี) จะทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารจนรู้สึกท้องอืด ท้องเฟ้อ

2.มันแกวป้องกันโรคหัวใจ (Jicama)          มันแกวนั้นประกอบด้วยกรดโฟลิกช่วยคุมปริมาณสารโฮโมซีสทีนในเลือดไม่ให้สูงเกินไป เพราะหากร่างกายมีสารโฮโมซีสเตอีนอยู่ในปริมาณสูงเกินไป หลอดเลือดจะถูกทำลาย โดยเฉพาะหลอดเลือดขนาดเล็ก เช่น หลอดเลือดหัวใจ ผลคือ หลอดเลือดจะตีบ และอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนอาจตายเพราะเลือดไม่ไหลเวียน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน ปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวัน คือ 1 ถ้วยตวง (120 กรัม)

3.เผือกบำรุงกระดูกและฟัน (Taro Root)          เผือกช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง เพราะมีแคลเซียมสูง แต่เผือกดิบมีกรดออกซาลิกสูง ซึ่งเป็นกรดที่ดักจับแคลเซียมในอาหาร ก่อนกินจึงต้องผ่านกระบวนการความร้อนก่อนทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการต้ม อบ คั่ว ทอด หรือนึ่ง เพื่อเจือจางปริมาณกรดออกซาลิก เพราะหากไม่ได้นำไปทำให้สุกก่อน กรดออกซาลิกจะจับตัวกับแคลเซียมไปสะสมที่ไตในรูปของแคลเซียมออกซาเลต มีลักษณะเป็นก้อนนิ่วที่อาจส่งผลให้เกิดโรคนิ่วในไต และโรคเก๊าท์ (ข้อต่ออักเสบ) ได้ในที่สุด ปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวันคือ ½ -1 ถ้วยตวง

4.แห้วบำรุงมวลกล้ามเนื้อ (Water Chestnut)          แห้วที่ใครหลาย ๆ คนไม่ชอบเอาซะเลย  แต่มีผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยรัฐโคโลราโด เผยว่า การบริโภคแร่ธาตุโพแทสเซียมประมาณ 4.7 กรัมต่อวัน จะช่วยบำรุงระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาทให้ทำงานเป็นปกติ แห้วจึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี เพราะแห้วเพียง ½ ถ้วยตวง ก็อุดมด้วยโพแทสเซียมสูงถึง 360 มิลลิกรัมแล้ว ปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวันคือ ½ -1 ถ้วยตวง

          มันฝรั่ง มันเทศ มันแกว เผือก และแห้ว ถือเป็นผักที่อุดมด้วยสตาร์ช (Starch) หรือคาร์โบไฮเดรตที่เกิดขึ้นเองจากการสะสมตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังถือเป็นผักที่เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุชั้นดีอีกด้วย หากวันนี้คุณยังนึกไม่ออกว่ายังไม่ได้กินสารอาหารหมู่ใด ลองนำพืชหัวเหล่านี้ไปดัดแปลงเป็นเมนู เช่น ซุปมันฝรั่ง สตูว์มันฝรั่ง สลัดมันแกว มันย่าง มันเทศต้ม เผือกต้ม รับรองว่าคุณก็จะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนแน่นอน   ทีนี้หากใครพูดว่า กินแห้ว ก็ไม่ต้องไปโกรธเขาน่ะครับ เพราะว่าแห้วมันมีประโยชน์มาก ๆ ขอบอก


วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

โรคเกาต์ ...โรคปวดข้อที่ป้องกันได้ ไม่ยากอย่างที่คิด

โรคเกาต์ ...โรคปวดข้อที่ป้องกันได้ ไม่ยากอย่างที่คิด

         โรคเกาต์ใคร ๆ ก็ต้องกลัวถึงรสแห่งความเจ็บปวดถ้าหากใคร ๆ ได้เป็นโรคนี้ และเกือบทุกคนก็จะต้องนึกถึงสัตว์ปีกแน่นอนว่าทำให้คนที่เป็นเกาต์ต้องระวัง  จะเป็นอย่างไร ลองอ่านบทความนี้ดีกว่าซึ่งผมก็ไปได้บทความดี ๆ จากเว็บไซต์กระปุกดอดคอม ได้เขียนไว้ว่า เมื่อประมาณ 2,500 ปี ก่อน ฮิปโปเครตีส บิดาแห่งวงการแพทย์สากล ได้พูดถึงโรคๆ หนึ่ง ที่มีอาการปวดตามข้อ โดยเฉพาะหัวแม่เท้า ว่า โรคเกาต์ ซึ่งโรคนี้ตั้งชื่อตามภาษาลาติน “Gutta”หมายถึง การอักเสบบริเวณข้อ 



เริ่มต้นรู้จัก อะไรคือ โรคเกาต์ 

         หากเราจะกล่าวถึง โรคเกาต์ อย่างน้อยที่สุดเราจำเป็นต้องรู้ว่า โรคเกาต์ เป็นโรคที่อยู่ในกลุ่มโรคไขข้ออักเสบ (Arthritis) ซี่งมีโรคอื่นๆ ในกลุ่มคือ ข้อเสื่อม รูมาทอยด์ ข้อต่อกระดูกสันหลังอักเสบ เป็นต้น 



         ส่วนอาการของ โรคเกาต์ มักจะเป็นอาการปวดที่เกิดขึ้นฉับพลัน ถ้าปวดครั้งแรกมักจะเป็นข้อเดียว แต่ถ้าปล่อยไว้นานเกินไป จากข้อเดียวจะลามเป็น 2 และ 3 ข้อ ต่อไป โดยในช่วงแรกๆ มักจะเกิดที่นิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า ข้อเข่า คนที่เป็นข้อมักจะบวม และเจ็บมากจนเดินไม่ไหว ผิวหนังบริเวณนั้นจะตึง ร้อนและแดง เพียงแค่กดเล็กน้อยก็ปวดจนร้องเพลงแจ้แล้ว (โอ้ย ๆ โอ้ย ๆ ) มีอารมณ์ขันนิดหน่อย หากใครเป็นโรคนี้ก็อย่ามาว่าผมน่ะ รู้ว่าเจ็บปวดแน่  แต่ไม่อยากให้เครียดก็เท่านั้นเอง   


         โดยระยะแรก อาการ โรคเกาต์ จะเป็นอยู่ไม่กี่วันแล้วหายไปเอง และกำเริบที่ข้อเดิมทุก 1-2 ปี แต่ต่อมาจะเป็นถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นเดือนละหลายครั้ง อาการปวดมักเริ่มตอนกลางคืน หรือหลังดื่มแอลกอฮอล์ คนที่เป็นมากอาจมีผลต่อสุขภาพจิตด้วย 


         ในรายที่เป็น โรคเกาต์ เรื้อรังอาจมีตุ่ม ก้อน ขึ้นตามเนื้อตามตัว เราเรียกตุ่มนั้นว่า ตุ่มโทไฟ (Tophi) บางครั้งตุ่มก้อนนั้นอาจแตก แล้วมีสารเหมือนแป้งเปียกไหลออกมา กลายเป็นแผลเรื้อรัง หายช้า แล้วในที่สุดข้อต่างๆ จะค่อยๆ พิการจนใช้งานไม่ได้ 

         โดยอัตราความเสี่ยงที่จะเป็น โรคเกาต์ พบว่าผู้ชายมีโอกาสเป็น โรคเกาต์ ได้มากกว่าผู้หญิง ประมาณร้อยละ 90 และมักเป็นเมื่ออายุสูงกว่า 40 ขึ้นไป สำหรับผู้หญิงมักจะเป็น โรคเกาต์ ช่วงหลังหมดประจำเดือนแล้ว  ส่วนอาการแทรกซ้อนที่มักจะเกิดร่วมด้วยกับ โรคเกาต์ หากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วย โรคเกาต์มักจะมีอาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด นิ่วในทางเดินปัสสาวะ และภาวะไตวาย เพราะฉะนั้นก็ต้องระวัง ไม่ใช่เป็นแค่โรคเกาต์อย่างเดียวแล้วจบ....ไม่ใช่    มันไม่เหมือนเลือกผู้แทนว่าต้องเลือกได้แค่เบอร์เดียวเท่านั้น  



เรียนรู้สาเหตุ โรคเกาต์ กันสักหน่อยเถอะ 

         โรคเกาต์ เป็นโรคที่เกิดจากการตกตะกอนของ กรดยูริก ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่ง ที่ได้จากการย่อยสลายของสาร เพียวริน (Purine) ที่มีมากในเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ปลาหมึก หอย ปู หรือปลาตัวเล็กที่กินทั้งกระดูก เช่น ปลาไส้ตัน ปลาซาดีนกระป๋อง นอกจากนี้ยังมีอยู่ในผักยอดอ่อนบางประเภทด้วย เช่น เห็ด กระถิน ชะอม ใบขี้เหล็ก สะตอ เป็นต้น แหมของชอบทั้งนั้นเลย  ใครเป็นแล้วก็นาน ๆ กินสักครั้งก็พอ  หรือไม่รับประทานก็จะยิ่งดี


         โดยปกติแล้ว คนที่เป็น โรคเกาต์  มักจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของกรรมพันธุ์ จากการสำรวจผู้ป่วย โรคเกาต์ พบว่า มักมีคนในครอบครัวเป็น โรคเกาต์ ร่วมอยู่ด้วย อันนี้จริงแท้แน่นอน เพราะว่าเจ้าคุณพ่อผมก็เป็น ผมก็มีแนวโน้มจะเป็นเหมือนกัน ไปตรวจสุขภาพมา คุณหมอบอกว่า ยูริคอยู่ในระดับ 7.8 แล้ว เพราะว่าถ้า ยูริค เกิน 8 ก็เป็นโรคเกาต์แน่นอน ซึ่งตอนนี้ก็ใกล้แล้วซิ ดังนั้น หากใครรู้ว่าคนในครอบครัวมีประวัติการเป็น โรคเกาต์  ก็ควรระวังในเรื่องการกินอาหารเป็นพิเศษ เพราะในคนปกติทั่วไป หากกินเนื้อสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ และผักยอดอ่อนประเภทที่กล่าวมาแล้วในปริมาณมาก ร่างกายจะมีการสร้างกรดยูริกมากขึ้น แต่ก็สามารถขับกรดยูริกส่วนเกินออกทางไตได้ 

         ส่วนคนที่เป็น โรคเกาต์ หากกินอาหารที่มีสารเพียวรินมาก ร่างกายจะสร้างกรดยูริกขึ้นมา แต่ไม่สามารถขับออกได้หมด จึงมีการสะสมกรดยูริกส่วนเกินไว้ในร่างกาย แล้วตกตะกอนอยู่ตามข้อ ตามผนังหลอดเลือด ในไต อวัยวะต่างๆ และทำให้เป็น โรคเกาต์  ขึ้นได้ 

         นอกเหนือจากการกินอาหารที่มีเพียวรินเยอะแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิด โรคเกาต์ด้วย เช่น อาการบาดเจ็บจากการกระแทกบ่อยๆ การบริโภคแอลกอฮอล์ อากาศเย็น และผลข้างเคียงจากยา เช่น แอสไพริน ยารักษาวัณโรค ยาขับปัสสาวะ 

อาหารสำหรับผู้ป่วย โรคเกาต์ 

         เนื่องจาก โรคเกาต์ เป็นโรคที่มีลักษณะเรื้อรัง รักษาให้หายได้ยาก ดังนั้น ผู้ที่เป็น โรคเกาต์จำเป็นต้องดูแลสุขภาพของตนเอง ผู้ที่เป็น โรคเกาต์ นั้น ควรลดอาหารที่ก่อให้เกิดกรดยูริกมาก ดังนั้น อาหารสำหรับผู้ป่วย โรคเกาต์ ควรมีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ ประกอบด้วยอาหารหลัก 5 หมู่ บางคนบอกว่าหมู่เดียวก็กินไม่ไหวแล้ว (หมู่บ้าน) ไม่ใช้อย่างนั้น หมายถึงสารอาหารครบ 5 หมู่ เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน เราจึงเสนออาหารในแนวชีวจิตมาให้ท่านได้ลองปฏิบัติกัน 


          คาร์โบไฮเดรต หรือแป้ง ต้องเป็นคาร์โบไฮเดรตบริสุทธิ์ ยังไม่ได้ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวแดง(ไม่ใช่ข้าวในเรือนจำน่ะ) แต่เป็นข้าวที่มีสีแดง ๆ  ข้าวซ้อมมือ ถ้าเป็นขนมปังขอให้เป็นขนมปังโฮลวีท โดยปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ต้องรับประทาน คือ 50 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ 

          ผัก มีทั้งผักสด และผักสุก คนที่เป็น โรคเกาต์ สามารถเลือกผัก ที่ไม่ก่อให้เกิดกรดยูริกตกค้างในกระแสเลือดมากเกินไปได้ โดยปริมาณผักที่เราจะรับประทานคือ 25 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ 

          โปรตีน แม้คนที่เป็น โรคเกาต์ จะไม่สามารถรับประทานอาหารประเภทโปรตีนได้มาก แต่ก็มีโปรตีนบางประเภทที่สามารถกินได้ เช่น เนื้อปลา โดยปริมาณที่รับประทานคือ 15 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ อย่างไรก็ตามเรากินสักอาทิตย์ละครั้ง 2 ครั้ง ก็ดีเหมือนกัน เพื่อให้ร่างกายปรับอยู่ในระดับสมดุลได้ดี ถึงอย่างนั้นผู้ป่วย โรคเกาต์ ควรหลีกเลี่ยงโปรตีนจากถั่วต่างๆ เช่น ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว เป็นต้น เพราะถั่วเหล่านี้มีสารเพียวรีนสูง 
(Purine)

          ในหมวดเบ็ดเตล็ด ก็ให้เน้นในเรื่องผลไม้ต่างๆ เช่น มะละกอ ฝรั่ง พุทรา ผลไม้แห้ง และสาหร่ายทะเล โดยปริมาณรวมกันแล้ว 10 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ 


         ทั้งนี้ คนที่เป็น โรคเกาต์ แม้จะมีอาการปวดตามข้อต่างๆ เราก็ควรจะออกกำลังกายเสริมด้วย ด้วยการออกกำลังกายง่ายๆ ที่ไม่กระทบข้อที่ปวดมากนัก แต่หากท่านใดมีอาการดีขึ้นแล้ว การรำตะบอง ซึ่งเป็นรูปแบบการออกกำลังกายในแนวชีวจิต ก็น่าสนใจทีเดียว เพราะเป็นการบริหารกระดูกสันหลัง ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมประสาท ซึ่งเมื่อประกอบกับการรับประทานอาหารที่ถูกต้องแล้ว จะช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดี หลังจากนั้นก่อนนอนก็สวดมนต์สักเล็กน้อย และก็นั่งสมาธิภาวนาเพื่อให้จิตใจไม่ว้าวุ่น ไม่วิตกกังวล อาการก็จะดีทั้งร่างกายและจิตใจ

วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2556

มะเฟือง สรรพคุณเสริมสร้างกระดูกและฟัน ควบคุมการเต้นของหัวใจให้ปกติ


มะเฟือง สรรพคุณเสริมสร้างกระดูกและฟัน ควบคุมการเต้นของหัวใจให้ปกติ
หากพูดถึงมะเฟืองตอนเราเรียนศิลปะคงจำกันได้ครูนำมะเฟืองมาหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วก็จุ่มสีแล้วก็นำมาวางบนกระดาษก็จะได้รูปดาว หลากหลายสีตามต้องการเป็นที่ชื่นชอบของเด็กนักเรียนเป็นอย่างมากมะเฟืองนอกจากจะทำเป็นรูปดาวแล้วการปลูกถือว่าเป็นต้นไม้มงคลนำความเจริญรุ่งเรืองสำหรับผู้ปลูกด้วยเช่นกัน 


เกร็ดความรู้กี่ยวกับ "มะเฟือง" ผลไม้ในประเทศไทยนั้นมีหลากหลายชนิดแต่ในวันนี้เราจะมาแนะนำผลไม้อย่าง มะเฟือง ให้เพื่อนๆ นั้นได้เข้าใจกัน
มะเฟือง นั้นเป็น“ผลไม้”ที่เรานั้นรู้จักกันมาตั้งนาน หรืออยู่คู่กับคนไทยมานานเป็นอย่างมากและ มะเฟือง นั้นเป็นต้นไม้เนื้ออ่อน ที่ยืนต้นที่มีขนาดกลาง และยังมีลักษณะที่เป็นทรงพุ่ม มีทั้งตั้งตรงและกึ่งเลื้อย และบริเวณลำต้นนั้นมีสีน้ำตาล เปลือกลำต้นไม่เรียบ และใบนั้นเป็นแผงที่คล้ายกับใบมะยม ผลของมะเฟืองนั้นมีผลอ่อนสีเขียว สุกแล้วจึงจะมีสีเหลืองใส เป็นผลไม้ที่มีรูปร่างแปลก และถ้าเวลาหั่นขวางจะเป็นรูปดาวที่สวยงาม  รสชาติมีทั้งหวานและเปรี้ยวแล้วแต่สายพันธุ์  อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 เป็นต้น


“ต้นมะเฟือง” นั้นมีต้นกำเนิดของมะเฟืองอยู่ในทวีปเอเชีย และยังเป็นไม้ต้นพื้นเมืองของประเทศอินโดนีเซีย อินเดียและศรีลังกา ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทย มาเลเซีย และบางส่วนของเอเชียตะวันออกเป็นที่นิยมมาก

สำหรับคุณค่าตามสารอาหาร มะเฟืองจะช่วยเสริมสร้างกระดูก และฟันนั้นให้แข็งแรงอีกด้วย และยังสามารถควบคุมการเต้นของหัวใจให้ได้อย่างสม่ำเสมอ และสามารถควบคุมกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดแข็งตัวง่ายนั้นเอง และยังมีฤทธิ์กล่อมประสาทได้อีกด้วย ช่วยระงับความฟุ้งซ่าน จึงช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาการนอนหลับ
ใบมะเฟือง ใบสดๆ นำมาตำเป็นยารักษาโรคอีสุกอีใสและกลากเกลื้อน นำมาต้มรับประทานเป็นยาถอนพิษไข้
ผลมะเฟือง นำมาต้มรับประทานเป็นยาแก้บิด อาเจียนเป็นเลือด ขับปัสสาวะ ปวดฟัน นิ่ว และแก้ไขเลือดออกตามไรฟัน
เปลือกลำต้นมะเฟือง ใช้ทาภายนอก แก้ผดผื่นคันตามร่างกาย

น้ำมะเฟือง นำมาดื่มแก้อาการเมาสุรา เมารถ แก้ไข้ ท้องร่วง
“มะเฟือง” นั้นสามารถที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังควบคุมการเต้นของจังหวะของหัวใจให้ได้อย่างสม่ำเสมอ ควบคุมกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดแข็งตัวง่าย มีฤทธิ์กล่อมประสาท ช่วยระงับความฟุ้งซ่าน จึงช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาการนอนหลับได้อีกด้วย

คลังบทความของบล็อก