วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

งาดำ สรรพคุณดีและมีประโยชน์ งาดำ รับประทานแล้วผมไม่หงอก

งาดำ ทานแล้วผมไม่หงอก?
เป็นคำถามที่ถามกันอยู่เป็นประจำว่าจริงหรือที่เราทานงา งาดำ งาขาว แล้วผมไม่หงอก หรือผมจะหงอกน้อยลง หรือไม่ช่วยอะไรเลย แล้วพอผมหงอกแล้วบางคนบอกยิ่งถอนยิ่งหงอกจริงหรือไม่ บางคนก็ไม่กล้าถอนเสียด้วยซี เพราะกลัวว่ายิ่งถอนก็จะยิ่งหงอกเพิ่มขึ้นมาอีก จนทำให้หงอกทั้งหัวเลย แต่ในความเป็นจริงจากบทความทางวิชาการหากเราได้ค้นคว้าศึกษาดูแล้วก็จะพบว่า รากผม 1 เส้น จะสร้างผมได้ 1 เส้น ต่อให้ตัดหรือถอนก็ไม่สามารถทำให้เส้นผมเพิ่มขึ้นได้ เพราะเส้นผมหงอกที่ถูกถอนหนึ่งเส้น จะไม่สามารถสร้างผมหงอกขึ้นมาได้อีก แต่ผมที่จะหงอกขึ้นมาใหม่นั้นก็จะสร้างขึ้นมาใหม่เองตั้งแต่ราก ดังนั้น การที่ยิ่งถอนยิ่งหงอกจึงเป็นไม่เป็นความจริง แต่ผมหงอกที่เพิ่มขึ้น เพิ่มจากปัจจัยอื่นต่างหาก เช่นความเครียด พักผ่อนน้อย ไม่ได้ดูแลสุขภาพ ไม่ได้บำรุงสุขภาพ อะไรประมาณนี้เป็นต้น

นอกจากนี้ อาการผมหงอกก่อนวัย ยังเกิดจากโรคที่แฝงอยู่ในร่างกาย เช่น โรคหัวใจ ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยลง โรคซีด โรคผิวหนัง โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ โรคกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ ในกรณีนี้เมื่อรักษาโรคที่เป็นอยู่จนหายขาดแล้ว อาการผมหงอกจะหายไปเอง หรือลดน้อยลงกว่าเดิมมาก

ฉะนั้น งาดำ จึงถูกนำมาเป็นจุดเด่น จุดขาย ที่จะนำมาใช้เพื่อเป็นการป้องกันผมหงอก หรือผมหงอกแล้วก็ให้ผมหงอกน้อยลง ก่อนที่จะหงอกก่อนวัย เพราะสรรพคุณของงาดำ นั้นมีสารอาหาร มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวประมาณ 80 เปอร์เซนต์ สำหรับงา 100 กรัม ให้แคลอรี่ 582 แคลอรี่ ไขมัน 52.8 กรัม คาร์โบไฮเดรต 19.8 กรัม เส้นใยอาหาร 5.4 กรัม โปรตีน 17.2 กรัม แคลเซียม 750 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 614 มิลลิกรัม เหล็ก 12.0 มิลลิกรัม วิตามินเอ 25 หน่วยสากล วิตามินบี 1 0.72 มิลลิกรัม วิตามินบี 2 0.17 มิลลิกรัม ไนอะซิน 5.1 มิลลิกรัม (จากกรมอนามัย ส่วนที่กินได้ 100 กรัม)

จะเห็นว่า งา งาดำ มีคุณสมบัติมากมาย สารอาหารต่าง ๆ มากมาย แต่นอกจากจะรับประทานงาดำแล้วยังมีวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ทำป้องกันผมหงอกก่อนวัยการที่ร่างกายจะสามารถสร้างเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผมได้อย่างเพียงพอนั้น คุณต้องได้รับวิตามินและแร่ธาตุต่อไปนี้ให้เพียงพออีกด้วย

1.ทองแดง พบมากในถั่วฝักยาว ถั่วแขก ถั่วลันเตา เมล็ดทานตะวัน ลูกเกด ลูกพลับ กล้วยตาก แครอท หัวไชเท้า เผือก มัน ผลไม้สดทุกชนิด
2.ไอโอดีน พบมากในอาหารทะเลทุกชนิด และอาหารที่ปรุงด้วยเกลือไอโอดีน
3.เหล็ก มีมากในปลา ลูกเกด ผักใบเขียว เช่น คะน้า ตำลึง กวางตุ้ง ผักบุ้ง ผักพื้นบ้าน เช่น มะเขือพวง ใบชะพลู ผักโขมหนาม และผักกูด
4.กรดโฟลิก พบมากในถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักบุ้ง กวางตุ้ง แครอท ฟักทอง ไข่แดง และตับ
5.กรดแพนโทเทนิก หรือวิตามินบี 5 พบมากในข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด แอ๊ปเปิ้ล
6.พาบา อยู่ในกลุ่มวิตามินบีรวม ซึ่งเป็นวิตามินเทียมที่ละลายในน้ำ พบมากในจมูกข้าวสาลี ข้าวกล้อง โยเกิร์ต และผักใบเขียว
7.ไบโอติน เป็นหนึ่งในกลุ่มวิตามินบีคอมเพล็กซ์ พบมากในอาหารจำพวกถั่วเหลือง และซีเรียล (การกินยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้การสังเคราะห์ไบโอตินในลำไส้ลดลง)

อาหารยับยั้งผมหงอกก่อนวัย
1.สาหร่ายทะเล นำมาปรุงเป็นอาหารจำพวกข้าวปั้น ต้มจืด หรืออบกรอบกินเป็นของขบเคี้ยวยามว่าง นอกจากจะช่วยยับยั้งผมหงอกก่อนวัยแล้ว ยังช่วยทำให้ผมดกดำด้วย เพราะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก และไอโอดีน
2.งา โรยงาลงในอาหารในแต่ละมื้อ จะช่วยยับยั้งปัญหาผมหงอกก่อนวัยได้ เพราะในงามีไขมันจากธรรมชาติ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินอี และเกลือแร่
3.เครื่องดื่มสมุนไพร ปั่นแครอทหั่นหยาบ 1/2 ถ้วย หัวไชเท้าหั่นหยาบ 1/2 ถ้วย และน้ำเย็นจัด 1 ถ้วยเข้าด้วยกัน กรองเอาแต่น้ำใส่ในแก้ว ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ และเกลือป่น 1/4 ช้อนชา ดื่มทันที

สุดท้ายก็มีครีมแก้ผมหงอก จากตำรายากลางบ้าน เขียนโดย (พระเทพวิมลโมลี บุญมา คุณสัมปันโน ป.๙) วัดเบญจมบพิตร กรุงเทพมหานคร
ครัมแก้ผมหงอก
ท่านให้เอา ต้นบัวบก หนัก 4 ส่วน, หัวแห้วหมู หนัก 2 ส่วน, พริกไทยอ่อน หนัก 1 ส่วน, ตัวยาทั้ง 4 อย่างนี้ นำมาตากแดดให้แห้ง บดเป็นผง ผสมกับ น้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดพุทรา ใช้รับประทานเวลาก่อนอาหารเช้า-เย็น มีสรรพคุณทำให้ผมดำ ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

งา งาดำ งาขาว ประโยชน์ของงา จิ๋วแต่แจ๋ว

งา เป็นพืชล้มลุก เป็นพืชที่ปลูกระยะสั้นเหมือนกับข้าว ออกผลเป็นช่อฝัก เวลาเก็บเกี่ยวก็จะทำการเกี่ยวเหมือนกับเกี่ยวข้าวนี่แหละ แล้วก็นำมาตากแห้ง พอต้นงาแห้งดีแล้วก็ทำการนวดเอาเฉพาะเมล็ดงา เมล็ดเล็ก ๆ ที่เราเห็นนี่แหละออกมาประกอบอาหารหรือเป็นผลิตภัณฑ์อาหารแบบต่าง ๆ งา พืชที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ มากมาย งา จะมีอยู่ 2 แบบ คือ งาดำ และ งาขาว ซึ่งผลิตภัณฑ์จากงานี้ก็นำไปทำน้ำมันงาได้ อย่างที่ผมกล่าวไว้แล้วในตอนแรก นอกจากนั้นก็จะนำมาใช้ประกอบอาหาร ต่าง ๆ มากมาย อาหารคาว อาหารหวาน เพราะงามีกลิ่นหอม และมีกรดไขมันที่มีประโยชน์ มีไข่มันอิ่มตัว ทีนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องสารอาหารกันบ้าง น้ำมันงานั้นมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวประมาณ 80 เปอร์เซนต์ สำหรับงา 100 กรัม ให้แคลอรี่ 582 แคลอรี่ ไขมัน 52.8 กรัม คาร์โบไฮเดรต 19.8 กรัม เส้นใยอาหาร 5.4 กรัม โปรตีน 17.2 กรัม แคลเซียม 750 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 614 มิลลิกรัม เหล็ก 12.0 มิลลิกรัม วิตามินเอ 25 หน่วยสากล วิตามินบี 1 0.72 มิลลิกรัม วิตามินบี 2 0.17 มิลลิกรัม ไนอะซิน 5.1 มิลลิกรัม (จากกรมอนามัย ส่วนที่กินได้ 100 กรัม)

ทั้งนี้สารอาหารที่มีอยู่ในเมล็ดงาล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน ที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย คือ กรดอะมิโนเมธิโอนีน นอกจากนี้ เรายังสกัดน้ำมันจากงาออกมาได้อีกด้วย ซึ่งน้ำมันที่ได้นั้นเป็นน้ำมันงาที่มีคุณสมบัติเยี่ยม คือ มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง ทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 กรดไขมันโอเมก้า 6 ที่มีคุณสมบัติช่วยลดคลอเลสเตอรอล จึงช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจ ทำให้ระบบหัวใจแข็งแรง นอกจากนี้ ยังมีกรดไขมันไลโนเลอิค ที่ช่วยทำให้ผมดกดำ บำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น
นอกจากนี้ งายังมีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ โดยเฉพาะแคลเซียมที่มีมากกว่านมวัวถึง 6 เท่า มีธาตุเหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และทองแดง และยังมากด้วยวิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งดีต่อระบบประสาท ช่วยทำให้นอนหลับ ร่างกายกระฉับกระเฉง พร้อมกันนั้นยังมีสารบำรุงประสาทด้วย และวิตามินอีเป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยต้านมะเร็ง
สำหรับประโยชน์ของงาดำนั้น งาดำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sesamum orientale L. อยู่ในวงศ์ Pedaliaceae ชื่อสามัญคือ sesame มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเอธิโอเปีย และถูกนำเข้าไปยังอินเดียและแพร่ต่อไปในจีน แอฟริกาเหนือ เอเซียใต้ และทวีปอเมริกา ซึ่งงาดำมีประโยชน์อย่างมาก การบริโภคงาดำเป็นประจำ จะช่วยให้นอนหลับ กระปรี้กระเปร่า ป้องกันโรคเหน็บชา บำรุงกระดูก ป้องกันอาการท้องผูก ลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดบรรเทาอาการริดสีดวงทวาร และช่วยบำรุงรากผม
ส่วนประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง คือ ถ้าใช้น้ำมันงาดิบนวดตัวในตอนเช้าก่อนอาบน้ำ จะช่วยปรับระบบประสาทและระดับฮอร์โมน ให้เข้าสู่สภาวะสมดุล ช่วยคลายเครียดทำให้จิตใจสงบ และยังสามารถนำน้ำมันงาดิบไปใช้นวดตัว เพื่อขจัดอาการปวดเมื่อย คลายกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดเข่า เล็ดขัดยอก และทำให้กล้ามเนื้อไม่เหี่ยวย่น ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ งาดำเป็นพืชที่มีประโยชน์อย่างมากและเป็นยาที่รักษาได้ทุกโรค


วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

งาดำ ทานแล้วผมดำจริงหรือ



เมล็ดงาดำ ใช้ประกอบอาหารมานานแล้วตั้งแต่สมัยโบราณกาล จังหวัดทางภาคเหนือ เช่นแม่ฮ่องสอนใช้น้ำมันประกอบอาหาร และมีการทำน้ำมันงาใช้เองอีกด้วย ขั้นตอนก็ไม่ยาก เพียงแต่โขลกหรือตำให้แหลกหรือว่าละเอียดแล้วก็คั้นน้ำมันออกมา ชาวบ้านเขาเรียกว่าหีบ ฟังแล้วเหมือน การหีบอ้อยอะไรประมาณนั้นเลย หรือบางคนก็เรียกว่าอีดงา กรรมวิธีชาวบ้านก่อนจะอีดงาจะนำเมล็ดงาตากแดดสักแดดหนึ่งก่อนแล้วจึงนำมาทำการอีดงาได้ หรือหีบได้ แล้วก็นำมาเคี่ยวในกะทะ ทิ้งให้ตกตะกอนจึงบรรจุขวด ก็จะได้น้ำมันงาที่ชาวบ้านทำใช้เองก็จะมีสีที่เข้มแตกต่างกันแล้วแต่ความเข้มข้น



ทีนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องสารอาหารกันบ้าง น้ำมันงานั้นมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวประมาณ 80 เปอร์เซนต์ สำหรับงา 100 กรัม ให้แคลอรี่ 582 แคลอรี่ ไขมัน 52.8 กรัม คาร์โบไฮเดรต 19.8 กรัม เส้นใยอาหาร 5.4 กรัม โปรตีน 17.2 กรัม แคลเซียม 750 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 614 มิลลิกรัม เหล็ก 12.0 มิลลิกรัม วิตามินเอ 25 หน่วยสากล วิตามินบี 1 0.72 มิลลิกรัม วิตามินบี 2 0.17 มิลลิกรัม ไนอะซิน 5.1 มิลลิกรัม (จากกรมอนามัย ส่วนที่กินได้ 100 กรัม)



เพราะฉะนั้นในการที่เรานำงามาทำอาหารก็จะได้รับสารอาหารทั้งหลายเหล่านั้นด้วย จึงถือว่างาเป็นยอดของอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง วิธีกินงาให้อร่อย ก็จะต้องมีการประยุกต์ให้เข้ากับอาหารชนิดอื่น เช่น ขนมถั่วแปบ ยำสนัท(ยำผักสุกทางภาคเหนือ) กล้วยบวชชี บางคนก็โรยงาลงไปด้วย จะทำให้หอมกลิ่นงาและได้คุณค่าโภชนาการอีกด้วย ขนมข้าวเหนียวก็คลุกงา ร้านอาหารบางร้านก็โรยในข้าวผัด เป็นข้าวผัดสูตรงา ปัจจุบันนี้นิยมนำเอางามาเป็นส่วนผสมอีกมากมายหลายชนิด หรืออาหารประเภผัดก็จะใส่น้ำมันงาเล็กน้อยเพื่อคุณค่าอาหารและความหอมอร่อยอีกแบบ


สำหรับที่ว่ารับประทานงาดำ ทานแล้วจะทำให้ผมดำ นั้นก็น่าคิดเหมือนกัน แต่จากคุณค่าทางอาหารที่กล่าวไว้แล้วนั้นก็น่าจะมีความเป็นไปได้สูงมาก เพราะประกอบด้วยสารอาหารมากมาย เช่นแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตตามิน บี1 บี2 โปรตีน ไขมัน ไนอะซิน ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ก็มีประโยชน์ต่อร่างกายมากก็คงช่วยได้โดยรวมทั้งร่างกายเลยทีเดียว