วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อาหารแบบไหนที่รับประทานแล้วอายุยืน


อาหารแบบไหนที่รับประทานแล้วอายุยืน
อาหารการกินถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตของคนเรา  หากเราไม่รับประทานอาหารก็อยู่ไม่ได้แน่นอน  แต่การรับประทานแบบไหนกันล่ะที่จะทำให้ร่างกายของเราแข็งแรง แถมมีอายุยืนด้วยนั้น มีบทความบทความหนึ่งเขาเขียนเอาไว้  ผมเลยยกเอามาขยายความกันเพื่อจะเป็นประโยชน์กับเรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายจะได้รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์และมีอายุยืนด้วย 

การกินอาหารเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean food) ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและไม่สูบบุหรี่ จะเป็นสิ่งที่ช่วยควบคุมน้ำหนัก ทำให้สุขภาพดีและมีอายุที่ยืนยาวมากขึ้นอีกกว่า 15 ปี
การศึกษาวิจัยชิ้นใหม่ของคลินิกโภชนาการที่มีการตีพิมพ์ลงในวารสารของประเทศสหรัฐอเมริกาชี้ให้เห็นว่าการกินอาหารเมดิเตอร์เรเนียนนั้น สามารถลดปัญหาสุขภาพและลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเพศหญิง ซึ่งศึกษาโดยใช้ฐานข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินอาหารและการดำเนินชีวิตของทั้งชายและหญิงที่มีอายุระหว่าง 55-69 ปี

อาหารเมดิเตอร์เรเนียนเป็นอาหารของกลุ่มประเทศที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีลักษณะเด่นของอาหารและลักษณะการกินคือ เป็นอาหารที่ประกอบไปด้วยผักและผลไม้สดที่เป็นผลผลิตตามฤดูกาลเป็นส่วยใหญ่ ใช้น้ำมันมะกอกในการประกอบอาหาร นิยมบริโภคเนื้อปลามากกว่าเนื้อสัตว์ประเภทอื่นๆ และมีการดื่มไวน์ในบริมาณที่พอดีควบคู่ไปกับการบริโภคอาหารแต่ละมื้อด้วย ซึ่งจากการศึกษาพบว่าผู้คนที่บริโภคอาหารเมดิเตอร์เรเนียนนี้ มีอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคหัวใจและมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่บริโภคอาหารทั่วๆไป

วิธีง่ายๆในการปรับชีวิตให้เป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียนสไตล์
1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2. กินอาหารจำพวกผักผลไม้สด, ธัญพืช, พืชตระกูลถั่ว เป็นหลัก
3. ใช้น้ำมันมะกอกในการประกอบอาหารแทนเนย
4. ใช้สมุนไพรและเครื่องเทศแทนเกลือในการปรุงอาหาร
5. จำกัดปริมาณในการบริโภคเนื้อแดงให้ไม่เกินเดือนละ 1 ครั้ง
6. กินอาหารประเภทปลาและสัตว์ปีกอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
7. ดื่มไวน์แดงในปริมาณที่พอเหมาะ (ทำหรือไม่ทำก็ได้)

หากเราได้พิจารณาแล้วการรับประทานอาหารที่ทำให้เราอายุยืนนั้นจะเน้นไปที่ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่าง ๆ เนื้อสัตว์ก็มีบ้างแต่ปริมาณที่พอเหมาะ โดยเฉพาะเนื้อแดง และเนื้อมัน ๆ ต่าง ๆ ที่เราชอบรับประทาน ก็ควรปรับเปลี่ยนการบริโภคของเราซะบ้างก็จะดีต่อตัวเราเอง   แต่ที่สำคัญอย่าลืมออกกำลังกายเป็นเด็ดขาด เพื่อจะทำให้ร่างกายแข็งแรง เผาผลาญไขมันส่วนเกิน และฝึกกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงยิ่งขึ้นด้วย

วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ออกกำลังกายง่าย ๆ แค่ก้าวขึ้นลงบันได โรคหัวใจก็ไม่มี

ออกกำลังกายง่าย ๆ แค่ก้าวขึ้นลงบันได โรคหัวใจก็ไม่มี
การออกกำลังกายนั้นถ้าหากจะออกกำลังกายจริง ๆ แล้วนั้นไม่ยากเลย ขอให้มีใจเท่านั้น วันนี้ก็ขอนำการออกกำลังกายแบบง่้าย ๆ แค่ก้าวขึ้นลงบันไดเท่านั้นก็จะทำให้ระบบการหายใจของเราดียิ่งขึ้น ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น เนื่องจากการก้าวขึ้นลงบันไดเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมไม่มากจนเกินไป และไม่้น้อยจนเกินไป  บางคนไม่ยอมเดินขึ้นบันได  อาศัยการขึ้นลิฟท์เพียงอย่างเดียว   การก้าวขึ้นลงบันไดจึงเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายมาก ๆ 

ท่าการออกกำลังกายในโดยการใช้เท่าเดินขึ้น-ลงง่ายครับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัด เพียงแค่มี เก้าอี้ที่ไม่สูงมาก หรือขั้นบันไดบ้าน เป็นใช้ได้แล้วครับ การออกกำลังกายแบบนี้ เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งจะช่วยบริหารระบบหัวใจ ซึ่งจะช่วยให้หัวใจแข็งแรง และทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้ระบบหายใจทำงานได้ดีขึ้นด้วย



Basic Step 
ท่านี้ เป็นการเดินขึ้นลงในที่ต่างระดับแบบง่ายๆ เน้นการใช้กล้ามเนื้อต้นขา โดยเริ่มจากการยกเท้าทีละข้างขึ้นแล้วยกเท้าอีกข้างที่เหลือยกตามขึ้นมา คล้ายๆกับการเดินขึ้นบันไดเลยครับ เพียงแต่ให้อยู่กับที่เท่านั้น เมื่อเท้าสองข้างขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกัน ก็ให้ยกเท้าทีละข้างลงกลับสู่ที่เดิม ทำสลับไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเพิ่มความเร็ว ค่อยๆให้สเต็ปในการยกเท้าเร็วขึ้น หากท่านใดต้องการบริหารกล้ามเนื้อแขน ในระหว่างที่ยกเท้าขึ้นลง ก็อาจจะแกว่งแขนไปมาด้วยก็ได้



Single Knee Power 
ท่านี้ยากขึ้นมาอีกระดับครับ โดยเริ่มจาก เก้าเท้าขึ้นไป แล้วยกเข่าขึ้น จากนั้น กลับลงมา แล้วเปลี่ยน ทำสลับข้างกันครับ เสริมอีกนิดครับ พอเวลายกเข่าข้างไหนขึ้น ให้ยกมือด้านตรงข้ามขึ้นสูงด้วยครับ 
ทำให้สอดคล้องกับลมหายใจ จะช่วยให้ปอดแข็งแรงขึ้นได้มากเลยครับ

การก้าวขึ้นลงบันไดจึงเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราคนทำงาน โดยไม่จำเป็นต้องไปฟิตเนส หรือว่าสถานที่ออกกำลังกายเลย  เพียงแต่เราใช้เดินก้าวขึ้นบันไดแทน การใช้ลิฟท์ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้หัวใจของเราสูบฉีดเลือดเข้าหัวใจได้เต็มที่  ระบบการหายใจก็จะดีขึ้นตามลำดับ  ได้กล้ามเนื้อต่าง ๆ มากมาย 

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ดูแลรักษาไต และหัวใจ ด้วยวิธีง่าย ๆ

ดูแลรักษาไต และหัวใจ ด้วยวิธีง่าย ๆ 
ไตและหัวใจ อวัยวะสำคัญอันดับต้นๆ ที่พึงดูแลให้ห่างไกลโรคมากที่สุด และนี่คือ 3 วิธีการกินง่ายๆ ที่จะช่วย ให้อวัยวะทั้งสองอยู่กับเราไปนานๆ ป้องกันโรคไตและโรคหัวใจ
 ดื่มน้ำสะอาด ทราบไหมว่าการสูญเสียน้ำอันเนื่องมาจากกลไกขับของเสียในร่างกาย อาจส่งผลให้เกิด ความผิดปกติต่อไตได้มากถึงร้อยละ 20 ฉะนั้น ควรจิบน้ำสะอาดบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน เพื่อป้องกันการขาดน้ำจน ไตพังนะคะ

 กินโยเกิร์ตหรือดื่มนม โยเกิร์ตวันละ 2 ถ้วย หรือนมวันละ 2 แก้ว จะช่วยให้ร่างกายได้รับแคลเซียมเพียง พอในการรับมือกับภาวะความดันโลหิตสวิงขึ้นๆ ลงๆ ได้มากถึงร้อยละ 25

ลดเกลือ ลดเค็ม เกลือ อาหารรสเค็ม ฟาสต์ฟู๊ด รวมทั้งอาหารสำเร็จรูป ล้วนเป็นแหล่งอุดมโซเดียมที่เป็น อันตราย โดยอาจส่งผลให้เกิดนิ่วในไต หรือความดันโลหิตสูง รวมทั้งหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ฉะนั้นลด ละ เลี่ยงอาหารเหล่านี้ได้จะดีกว่า

3 วิธีแค่นี้เอง ง่ายจัง!

วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กินอยู่แบบไทย ห่างไกลมะเร็ง

กินอยู่แบบไทย ห่างไกลมะเร็ง
ทุกวันนี้โรคร้ายต่าง ๆ มีเยอะมาก อายุยังน้อยอยู่เลยแต่ก็เป็นโรคโน่น โรคนี่กันแล้ว เบาหวาน ความดันโลหิต มะเร็งก็เป็นด้วยซิ ทำไมคนสมัยก่อนถึงไม่ค่อยเป็นโรคกันเลย อาหารการกินก็หากินได้ยาก ไม่เหมือนสมัยนี้  แล้วทำไมคนสมัยก่อน ๆ ถึงไม่ค่อยเป็นอะไรเลย ซึ่งคนสมัยนี้อยู่ดี ๆ ไม่มีอาการอะไรผิดปกติ แต่พอไปตรวจสุขภาพ หมอบอกเป็นมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย อีก 6 เดือนต้องตาย เป็นไปได้อย่างไร? ทำไมคนตายด้วยโรคมะเร็งเยอะจัง? เกิดจากอะไรกันแน่? จะป้องกันได้อย่างไร? เพราะยังไม่อยากตาย....!!!

          แม้วงการแพทย์ยังไม่ฟันธงถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคมะเร็ง แต่จากการศึกษาติดต่อกันมาเนิ่นนานพอจะระบุได้ว่า ต้นเหตุของโรคมะเร็งส่วนน้อยนิดไม่ถึง 20% เกิดจากกรรมพันธุ์ แต่อีก 75-80% ไปสัมพันธ์กับวิถีชีวิต มลพิษ และสิ่งแวดล้อม ทั้ง 3 สิ่งนี้มนุษย์เป็นผู้กระทำให้ตนเองเกิดโรคมะเร็ง ทั้งตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจ

          วิถีชีวิตที่เครียดกับการทำงาน และการดำเนินชีวิตท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดปากกัดตีนถีบ มีเวลาพักผ่อนน้อย ทุ่มเทชีวิตให้กับงาน ไม่เคยสนใจออกกำลังกาย หมกมุ่นอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ทั้งหมดก่อให้เกิดโรคมะเร็งอารมณ์ ชีวิตจึงเหี่ยวเฉา เซ็ง หน้าเคร่งเครียด อารมณ์บูดตลอด ทั้งหมดมีผลกระทบทำให้เซลล์ผิดปกติ หากเกิดติดต่อกันนาน ๆ นำไปสู่มะเร็งทางกายได้ในที่สุด

          ส่วนสาเหตุมะเร็งที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมมีหลายสาเหตุย่อย แต่เชื่อไหมส่วนมากเกิดจากอาหาร บุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นสิ่งที่เราเสพเข้าไปทั้งนั้น ดั้งนั้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราสามารถที่จะป้องกันมะเร็งไม่ให้เกิดกับตัวเราด้วยตัวเราเอง แต่เชื่อเถอะคุณไม่สนใจที่จะดูแลตัวเองเรื่องการกิน มะเร็งจึงได้เข้าโจมตีคุณโดยไม่บอกคุณล่วงหน้า

           การกินอาหารไทย ๆ (ต้องไทยแท้ ๆ) สามารถป้องกันมะเร็งได้ ขอฟันธง เพราะสิ่งที่จะบอกต่อไปนี้ สามารถอธิบายได้ ทางวิทยาศาสตร์ขององค์ประกอบของอาหารไทย ที่ป้องกันมะเร็งได้หลายเหตุผล อาทิ อาหารไทยแท้แบบดั้งเดิมเป็นอาหารที่ปรุงประกอบมาจากอาหาร หรือวัตถุดิบธรรมชาติ ไม่ผ่านกระบวนการใด ๆ นั้น ย่อมปลอดภัยจากสารพิษปนเปื้อนและสารก่อมะเร็ง เรียกว่า กินตามธรรมชาติให้มา และที่สำคัญการกินอาหารไทยเน้นปลาเป็นหลัก กินผักเป็นพื้น เมนูอาหารไทยแท้จะปรุงมาจากปลาเป็นส่วนใหญ่ซึ่งมีไขมันต่ำ และเป็นโปรตีนที่ดีย่อยง่าย ป้องกันมะเร็งได้

          อาหารไทย ๆ มักเน้นการปรุงแบบ ต้ม ปิ้ง ย่าง และยำ ไม่เน้นการทอด ไขมันจึงต่ำ อาหารไทยมีรสชาติปานกลางกลมกล่อมไม่หวานจัด มันจัด เค็มจัด อาหารไทยในหนึ่งสำรับ หรือหนึ่งจานครบ 5 หมู่ และมีความสมดุลของสารอาหาร และพลังงาน จึงถือได้ว่าอาหารไทย คือ อาหารบาลานท์ไดเอท (Balance Diet) เหตุผลทั้งหมด จะอธิบายได้เต็มปาก หากกินอาหารไทยจะไล่บี้มะเร็งได้ จริง ๆ นะ

ในอาหารไทยมีสารอาหาร และสารพฤกษาเคมี (Phyto Chemical) หลายตัวที่ออกฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ เพราะอาหารไทยมีองค์ประกอบหลักคือผักผลไม้ที่วงการแพทย์ออกมารณรงค์ให้กินผักผลไม้ให้มากขึ้นเพื่อต้านโรคมะเร็ง และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาหารไทยแท้ทุกมื้อขาดผักไม่ได้ เพราะอาหารไทยต้องมีน้ำพริกกินน้ำพริกต้องกินผัก อาหารไทยเน้นประเภทต้มและแกง ย่อมมีผักเป็นเครื่องปรุงหลัก เช่น แกงส้ม แกงเลียง แกงป่า เป็นต้น



          ผักที่อยู่ในอาหารไทยมีใยอาหาร (Fiber) มากพอที่จะป้องกันมะเร็งได้ด้วยหลายเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ ใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำจะดูดซับน้ำได้มาก กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่จะเคลื่อนตัว กวาดเอาของเสีย สารพิษสารก่อมะเร็งออกจากร่างกายไม่ให้ตกค้าง ที่สำคัญใยอาหารไม่มีไขมัน ไม่มีแคลอรี ไม่ทำให้อ้วน ซึ่งลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง จากงานวิจัยล่าสุด พบว่าใยอาหารจะจับฮอร์โมนเอสโตรเจน ไว้ทำให้ระดับฮอร์โมเอสโตรเจนในเลือดลดลง ซึ่งลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้

          พืชผักในอาหารไทยให้สารเบต้าแคโรทีนที่อยู่ในกลุ่มสารแคโรทีนอยด์ สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ และเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ไล่กวาดจับอนุมูลอิสระซึ่งลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง นอกจากนี้ยังพบสารแคโรทีนอยด์ที่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอไม่ได้ ได้แก่ ไลโคฟีน ลูทีน ซีแซนทีน พบในมะเขือเทศและพืชผักใบเขียวเข้มป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจหลอดเลือดได้ดี

           วิตามินซี และวิตามินอีในพืชผัก และธัญพืชในอาหารไทย จะทำหน้าที่ร่วมกันไปจับสารไนไตรท์ในอาหาร ไม่ให้เปลี่ยนเป็นไนโตรซามีน ป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหารได้ แต่ที่สำคัญทั้งวิตามินซี และอีจะต่อต้านไม่ให้เกิดอนุมูลอิสระ ยับยั้งปฏิกิริยาเกิดสารก่อมะเร็ง และป้องกันไม่ให้ดีเอ็นเอ (DNA) ถูกทำลาย ซึ่งเป็นสาเหตุเริ่มต้นของการก่อตัวเซลล์มะเร็ง ป้องกันมะเร็งเต้านม ปอด ช่องปาก ต่อมลูกหมาก และกระเพาะอาหาร

ในเนื้อปลา ผัก ผลไม้ไทย หลายชนิดมีสารซีลีเนียม และเฟลโวนอยด์ เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ดีอีกตัวหนึ่ง เสริมวิตามินซี ป้องกันเซลล์ถูกทำลาย ยับยั้งออกซิเดชั่น และต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้

           นอกจากนี้อาหารไทยส่วนมากปรุงจากเครื่องเทศ สมุนไพรที่ออกฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะกระเทียมไทย พบสารที่มีกำมะถันเป็นส่วนประกอบคือ อัลลิน จะเปลี่ยนเป็น อัลลิซิน ทำให้เกิดกลิ่นในกระเทียมมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และมีสารป้องกันการเกิดเนื้องอกที่เกิดจากไนโตรซามีน 

          การป้องกันมะเร็งนอกจากปรับพฤติกรรมหันมากินอาหารไทย ๆ ให้มากขึ้นตามที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังจะต้องหลีกเลี่ยงการกินอาหารปิ้งย่างจนไหม้เกรียม อาหารมันจัด เช่น หนังหมู หนังไก่ อาหารทอด โดยเฉพาะทอดน้ำมันลอยที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ อาหารสีฉูดฉาด อาหารหมักดอง อาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมอาหาร (Process Food) และหาโอกาสออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตลอดจนหลีกเลี่ยงความเครียด และหาทางสลัดมันออกโดยเร็วเมื่อรู้ตัวว่าเครียด ลด หรือ งดสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ได้

          ที่ท่านอ่านมาทั้งหมดนี้ ผมมั่นใจว่าท่านรู้ดี แต่ท่านไม่ทำ ไม่ปฏิบัติ ท่านจึงอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ลองถามตัวท่านเองว่าทำไมไม่ทำ? ช่วยหาคำตอบให้ตัวเองหน่อยเถอะ ถ้าหาคำตอบได้ แล้วใส่ใจกับอาหารไทย ๆ ท่านจะพ้นภัยมะเร็งได้ ในระดับที่ไม่ต้องเสี่ยง โชคดีครับ

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

3 สมุนไพร พิชิตโรค ป้องกันโรค รักษาโรค


3 สมุนไพร พิชิตโรค ป้องกันโรค รักษาโรค
ไปอ่านบทความมาจากศูนย์ข้อมูลสุขภาพเพื่อคนไทย เขาบอกว่ามีสมุนไพรอยู่ 3 ชนิดที่สามารถพิชิตโรคร้ายต่าง ๆ ได้ รวมถึงการป้องกันโรคได้ด้วย เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคต้อกระจก ซึ่่งสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดนี้ก็เป็นที่คุ้นเคยของคนไทยอยู่แล้ว และเป็นสมุนไพรที่ใกล้ตัวเรามาก เพียงแต่เราจะมีวิธีจัดการปรุงอาหาร หรือนำมารับประทานอย่างไรก็เท่านั้น  สำหรับสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดที่ว่าก็คือ มะระขี้นก ตำลึง และผักเชียงดา

1.มะระขี้นก 
มีสรรพคุณช่วยลดน้ำตาลในเลือด มีรายงานการศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอินเดีย พบฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดจากสัตว์ทดลอง และ ผู้ป่วยเบาหวาน และสามารถชะลอการเกิดต้อกระจก ซึ่งเป็นอาการแทรกซ้อนของโรคเบาหวานได้ จากผลการวิจัยสรุปว่า มะระขี้นก มีกลไกการออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้หลายวิธี คือ ออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน ออกฤทธิ์เกี่ยวกับการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน ออกฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์กลูโคส และเพิ่มการใช้กลูโคสในตับ องค์ประกอบทางเคมีที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดคือ อินซูลิน คาแรนทิน และไวซีน
มะระขี้นก จึงเป็นพืชผักสมุนไพรตัวแรกที่ควรส่งเสริมให้ใช้เป็นสมุนไพรคู่ใจผู้ป่วยเบาหวาน จากการที่มีรายงานการศึกษาวิจัยถึงสรรพคุณการลดน้ำตาลในเลือดทั้งในสัตว์ทดลองและในคนเป็นจำนวนมาก และรูปแบบวิธีใช้ที่ให้ผลลดน้ำตาลในเลือดก็ไม่ซับซ้อน คือสามารถใช้ได้ทั้งน้ำคั้น ชงเป็นชา หรือกินในรูปแบบของแคปซูล ผงแห้ง

2.ตำลึง
ตำลึง เป็น สมุนไพร ที่นิยมใช้รักษาโรคผิวหนังพวกผื่นแพ้ ตำแย หมามุ่ย หนอนคัน บุ้ง หอยคัน มดคันไป ผื่นคันจากน้ำเสีย ผื่นคันจากละอองข้าว ผื่นคันชนิดที่ไม่รู้สาเหตุ เริม งูสวัด สุกใส หิด สิว ฝีหนอง เป็นต้น ส่วนการกินตำลึงจะช่วยระบายท้อง ลดการอึดอัดท้องหลังกินอาหารเนื่องจากมีสารช่วยย่อยแป้ง และช่วยแก้ร้อนใน เป็นต้น ที่สำคัญคือตำลึงเป็นยาพื้นบ้านใช้รักษาเบาหวาน ทั้งราก เถา ใบ ใช้ได้หมด มีสูตรตำรับหลากหลาย และในตำราอายุรเวทก็มีการใช้เป็นยารักษาเบาหวานมานานนับพันปี ชาวเบงกอลในอินเดียใช้ตำลึงเป็นยาประจำวันสำหรับแก้โรคเบาหวาน
สำหรับการรักษาเบาหวานด้วย ตำลึง นั้น ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ ตำลึง จำนวนมาก และเป็น สมุนไพร ที่น่าเชื่อถือได้มากที่สุดตัวหนึ่ง จากการทบทวนผลการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบ เกี่ยวกับสรรพคุณของ สมุนไพร ลดน้ำตาลในเลือด ของทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่าตำลึงและโสมมีหลักฐานสนับสนุนประสิทธิผลการลดน้ำตาลดีที่สุด และได้ค้นพบสรรพคุณของ ตำลึง ที่ช่วยลดน้ำตาล คือ ใบ ราก ผล มีการศึกษาพบว่าการกินตำลึงวันละครึ่งขีด ทุกวันสามารถรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ได้ ข้อดีของตำลึงคือปลูกง่าย หาง่ายและราคาถูกกว่าโสมมากโดยเฉพาะในบ้านเรา

3.ผักเชียงดา
ผักเชียงดา
 เป็นผักที่หมอยาพื้นบ้านใช้เป็นผักเพิ่มกำลังในการทำงานหนัก และใช้เป็นยารักษาเบาหวาน เช่นเดียวกับอินเดียและประเทศแถบเอเชียมานานกว่า 2 พันปีแล้ว ผักเชียงดา สามารถนำไปใช้ลดน้ำหนัก เพราะว่า ผักเชียงดา ช่วยให้มีการนำน้ำตาลไปเผาผลาญมากกว่าการนำไปสร้างเป็นไขมันสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และพบมีรายงานการศึกษาว่า ผักเชียงดา สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง แคปซูล ผักเชียงดา ยังมีวางขายในร้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในรูปแบบผงแห้งที่มีการควบคุมมาตรฐานของกรดไกนีมิก
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ผักเชียงดา มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2469 และปี พ.ศ.2524 มีการยืนยันผลการลดน้ำตาลในเลือดและเพิ่มปริมาณอินซูลินในสัตว์ทดลองและในคนที่เป็นอาสาสมัครที่แข็งแรง พบว่า ผักเชียงดา ไปฟื้นฟูบีตาเซลล์ของตับอ่อน (อวัยวะที่สร้างอินซูลิน) ทำให้ ผักเชียงดา สามารถช่วยคุมน้ำตาลได้ในคนเป็นเบาหวานทั้งชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2
 ขอบคุณที่มาจาก ศูนย์ข้อมูลด้าน สุขภาพ เพื่อคนไทย

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เลือดจระเข้ นักวิจัยการันตีั แร่ธาตุอื้อ

เลือดจระเข้ นักวิจัยการันตีั แร่ธาตุอื้อ
เลือกจระเข้ มีสรรพคุณดีเยี่ยม เลือดจระเข้ มีแร่ธาตุ วิตามินต่าง ๆ มากมาย เลือดจระเข้ ช่วยป้องกันเกร็ดเลือดแข็งแรง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงตามมา จึงมีผู้ที่ใช้เลือดจระเข้ในการบำรุงร่างกาย และเลือดจระเข้ก็กำลังเป็นที่นิยมมากในการเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร



นักวิจัย มข.การันตีเลือดจระเข้เจ๋งจริง มีแร่ธาตุ วิตามินและโปรตีนหลายชนิด มีส่วนประกอบกรดอมิโนที่จำเป็นครบทุกชนิด มีสรรพคุณทำให้เกร็ดเลือดแข็งแรง ลงนามมอบสิทธิบัตรให้เอกชนต่อยอดทำเป็นการค้า



              เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 24 ตุลาคม  ส่วนงานสนง.บริหารทรัพย์สินทางปัญญามหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ทำพิธีลงนามสัญญาถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีฤทธิ์ทำลายจุลินทรีย์จากเลือดจระเข้และส่วนประกอบ ให้บริษัท ศรีราชา โมด้า  นำเอาผลงานวิจัยที่ได้รับการจดสิทธิบัตรนี้ไปพัฒนาต่อยอดเพื่อการค้า โดยมี รศ.กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย อธิการบดีฯ นายยศพงษ์ เต็มศิริพงษ์ กรรมการบริษัทศรีราชา โมด้า จำกัด และ รศ.สมปอง ธรรมศิริรักษ์ หัวหน้าทีมงานวิจัย ร่วมลงนาม            


              ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากเลือดจระเข้กำลังได้ความนิยมกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากทางการแพทย์แผนโบราณได้ใช้เพื่อบรรเทาอาการหอบหืด โรคภูมิแพ้และบำรุงร่างกาย แต่ในการวิจัยสรรพคุณส่วนประกอบยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ทีมคณะวิจัยมหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงได้ร่วมกับบริษัท ศรีราชา โมด้า จำกัด ทำการศึกษาวิจัยรวมทั้งพัฒนากระบวนการผลิต จนผลงานได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ได้จดสิทธิบัตรในนามมหาวิทยาลัยขอนแก่น และยังได้รับรางวัลโครงการวิทยาศาสตร์สู่ความเป็นเลิศ จากคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสารและคมนาคม วุฒิสภา ปี 2555 ด้วย

              รศ.สมปอง กล่าวว่า จากการวิจัยพบว่าคุณค่าทางโภชนาการของเลือดจระเข้ มีแร่ธาตุ วิตามินและโปรตีนหลายชนิด โดยใน 100 กรัม มีปริมาณเหล็กสูงถึง 174 มก.และโปรตีน 86.2 กรัม นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบกรดอมิโนที่จำเป็นครบทุกชนิดที่เหมาะสมต่อการนำมาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้  โดยได้พัฒนากระบวนการผลิต พัฒนาเทคนิคการแยกบริสุทธิ์สารโปรตีน การทดสอบประสิทธิภาพการทำลายเชื้อจุลินทรีย์ การพาสเจอร์ไรส์ที่สมบูรณ์แบบไม่ทำลายคุณสมบัติของส่วนประกอบแร่ธาตุ       

              รศ.สมปอง กล่าวว่า เนื่องจากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากเลือดจระเข้มีธาตุอื่นๆและเหล็กสูงมาก จึงมีส่วนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะโลหิตจางชนิดขาดเหล็ก ติดเชื้อง่าย ผู้ที่มี ภูมิคุ้มกันไม่ปกติ ผู้ป่วยที่ต้องการเสริมสร้างเม็ดเลือด ผู้ใช้แรงงานผู้ป่วยในระยะพักฟื้น รวมทั้งผู้ที่มีรอบเดือนไม่ปกติ       

              "เป็นที่น่าสังเกตว่าโดยธรรมชาติจระเข้จะมีความดุร้ายทำร้ายกันเองมีแผลแต่ไม่เคยทำให้ถึงกับเสียชีวิต และแผลหายเร็วมาก เช่นเดียวกับผู้ที่รับประทานผลิตภัณฑ์จากเลือดจระเข้จะมีเกร็ดเลือดที่แข็งแรงทำให้แผลค่อนข้างแห้งเร็วหายเร็ว  ซึ่งทีมงานวิจัยจะได้ทำการวิจัยต่อเนื่องเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะเกี่ยวกับการรักษาบาดแผล หรือยาทาแผลต่อไปอีก ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นแผลเรื้อรังหรือแผลจากอาการโรคติดเชื้อรุนแรงได้อีกระดับหนึ่ง " รศ.สมปองกล่าว
      
              ในด้านการตลาดเลือดจระเข้เป็นสิ่งที่เป็นผลพลอยได้จากผลิตภัณฑ์อื่นๆ ไม่จำเป็นต้องฆ่าจระเข้เพื่อเอาเลือด ในการทำธุรกิจฟาร์มจระเข้ ซึ่งศรีราชา โมด้า เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากจระเข้ ครบวงจร โดยเฉพาะหนังซึ่งจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ส่วนเลือดจระเข้ที่นำมาผลิตเป็นอาหารเสริมมีสัดส่วนแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด เนื่องจากเลือดจระเข้มีปริมาณต่อตัวน้อยมาก เฉลี่ย 1 ตัวสามารถผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้ 1 กล่อง หรือ 100 แคปซูลเท่านั้น และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)ให้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเลือดจระเข้แคปซูล บริษัทแรกในโลก ภายใต้โลโก้ โมด้าพลาส ที่สำคัญเป็นการส่งเสริมสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรที่คอนแท็กฟาร์มมิ่งกับบริษัทฯ ซึ่งภาคอีสานมีผู้เลี้ยงจระเข้กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของสมาชิกทั่วประเทศ

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ส้มโอ สรรพคุณขับลมในกระเพาะอาหาร


ส้มโอ สรรพคุณขับลมในกระเพาะอาหาร

ส้มโอ มีสรรพคุณมากมายหลายอย่าง เช่น ขับลมในกระเพาะอาหาร  และประโยชน์ของส้มโอส้มโอ อีกหนึ่งผลไม้ที่มากคุณค่าและรสชาติที่อร่อยรสเปรี้ยวอมหวานที่ถูกปากใครหลาย ๆ คน และไม่เพียงเท่านั้น ประโยชน์ของส้มโอยังสามารถนำไปปรุงอาหารได้อีกด้วยนะค่ะ เท่านั้นยังไม่พอ สรรพคุณของส้มโอ ก็ยังมีฤทธิ์เป็นยาในการรักษาโรคได้อีก ใครรักสุขภาพน่าจะลองหันมาบริโภคส้มโอกันดูนะค่ะ และวันนี้เราก็ได้รวบรวมข้อมูล สรรพคุณของส้มโอ และ ประโยชน์ของส้มโอ มาฝากคุณ ๆ ทุกคนกันด้วยค่ะ ใครอยากรู้ล่ะก็ว่าส้มโอนั้นมีคุณสมบัติอย่างไรกันบ้างก็มาดู สรรพคุณของส้มโอ และ ประโยชน์ของส้มโอ 




สรรพคุณ / ประโยชน์ของส้มโอ


ใบ : เป็นยาแก้ปวดข้อ ท้องอืดแน่น แก้ปวดหัว (ตำพอกที่ศีรษะ)

ดอก : แก้ปวดกระเพาะอาหาร แก้ปวดกระบังลม ขับเสมหะ ขับลม

ผล : แก้เมาสุรา ขับลมในลำไส้และกระเพาะอาหาร ทำให้เจริญอาหารเหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์เบื่ออาหาร ปากไม่รู้รสอาหาร

เปลือกผล : เป็นยาขับลม ช่วยขับเสมหะ แก้อึดอัด แน่นหน้าอก ไอ จุกแน่น ปวดท้องน้อย ไส้เลื่อน หรือต้มน้ำอาบแก้คัน ใช้ตำพอกฝี

เมล็ด : แก้ไส้เลื่อน แก้ปวดท้อง ลำไส้เล็กหดตัวผิดปกติ

ราก : แก้หวัด แก้ไอ แก้ปวด ปวดท้องน้อยและกระเพาะอาหาร ไส้เลื่อน


เกล็ดความรู้จากส้มโอ

1. ปวดบวม ใช้ใบสดตำแล้วเอาไปย่างไฟให้อุ่น นำไปพอกตรงบริเวณที่เป็น

2. ไอมีเสมหะ ใช้ผลสดเอาเมล็ดออกเสีย แล้วแกะเป็นชิ้นเล็ก ๆ แช่กับน้ำเหล้าไว้ 1 คืน เสร็จแล้วนำไปต้มให้เละผสมกบน้ำผึ้ง กวนให้เข้ากันแล้วจิบกินบ่อย ๆ

3. อาหารไม่ย่อย ท้องอืดแน่น ใช้เปลือกผลแห้งและลูกเร่วแห้งอย่างละ 10 กรัมกับกระเพาะอาหารไก่ 1 ใบ ผักคาวทองสด 15 กรัม และผงยีสต์แห้ง 1 ช้อนชาต้มกับน้ำกิน



วันหยุดวันพักผ่อน หากมีโอกาสซื้อของฝาก จะเป็นส้มโอก็ดี ถือว่าให้ของที่มีประโยชน์เพราะส้มโอ มีสรรพคุณมากมายจริง ๆ เลย และราคาก็ไม่แพงอีกด้วย ส้มโอก็มีหลากหลายพันธุ์ เช่น ขาวแตงกวา อยู่ที่ชัยนาท ส้มโอ ทองดี  อยู่ที่นครชัยศรี เป็นต้น ลองเลือกซื้อเลือกหากันตามอัธยาศัยครับ

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บร็อคโคลี่ สุดยอดผัก

บร็อคโคลี่ สุดยอดผัก

ทุกวันนี้ฟ้าฝนช่างแปรปรวนตลอดเวลา สภาพอากาศที่เต็มไปด้วยมลพิษ หรือจะเป็นความเครียดจากการงาน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณนั้นมีสุขภาพที่ไม่ดี ดังนั้นการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่จะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆได้ โดยเฉพาะ บร็อคโคลี่ ผักที่เราคุ้นเคยกันดี ด้วยรสชาติที่หวาน กรอบ อร่อย แต่แฝงไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการมากมาย ที่จะช่วยให้คุณนั้นมีสุขภาพที่แข็งแรงตลอดเวลาพร้อมเผชิญหน้ากับทุกสถานการณ์ในแต่ละวัน

เนื่องด้วยบร็อคโคลี่นั้นเป็นผักที่มีวิตามินซีสูงมากเพราะบร็อคโคลี่หนึ่ง  ถ้วยตวงให้วิตามินซีสูงกว่า ส้มหนึ่งผลถึง 2 เท่า โดยวิตามินซีจะช่วยในเรื่องการบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัด ซึ่งทำให้หวัดนั้นหายเร็วขึ้นนั่นเอง แต่ประโยชน์ของบร็อคโคลี่นั้นไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพราะเจ้าตัว    บร็อคโคลี่ยังอุดมไปด้วย ซัลโฟราเฟน ซึ่งมีความสามารถในการจำกัดสารก่อมะเร็งซึ่งเป็นโรคที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายนับไม่ถ้วนแถมยังมีเบต้า-แคโรทีน  ที่  ช่วยดูแลรักษาผิวพรรณของคุณให้ดูเต่งตึง ผ่องใส ดูดีได้จากภายใน ลดความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็ง บำรุงสุขสุขภาพดวงตา ป้องกันโรคต้อกระจกและชะลอความแก่ได้อีกด้วย แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้เพราะบร็อคโคลี่ยังอุดมไปด้วย     สารกลูต้าไธโอน ซึ่งช่วยลดอาการเสี่ยงต่อการเกิดไขข้ออักเสบ เบาหวาน โรคหัวใจ เพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ลดระดับคอเลสเตอรอล และยังช่วยลดความดันโลหิตสูงอีกด้วย

              โดยเมนูจากบร็อคโคลี่ก็มีมากมายทั้ง บร็อคโคลี่ผัดกุ้งน้ำมันหอย  สลัด บร็อคโคลี่ แซลม่อนผักบร็อคโคลี่ ยำบร็อคโคลี่ หรือจะนำมาใส่กับ ข้าวผัด ผัดมักกะโรนี ผัดซีอิ๊วและราดหน้า ก็ได้ หรือจะทำเป็นน้ำบร็อคโคลี่ไว้ดื่มแก้กระหายและเพิ่มความสดชื่นได้อย่างง่ายๆ โดยการนำก้านบร็อคโคลี่ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นๆ 10 – 15 ชิ้น ใส่เครื่องคั้นแยกกากรวมกับแอปเปิ้ลครึ่งผล ก็จะได้น้ำบร็อคโคลี่ที่อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงแล้ว ด้วยความอร่อย รับประทานง่ายและได้ประโยชน์จึงทำให้ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า บร็อคโคลี่ นั้นเป็นสุดยอดผักสำหรับคุณและคนที่คุณรัก

บวบ เป็นได้ทั้งอาหารและเป็นยา

บวบ เป็นได้ทั้งอาหารและเป็นยา
บวบเป็นผักที่มีให้กินตลอดฤดู บวบที่เราคุ้นเคยกันเป็นบวบเหลี่ยม มีผิวเป็นสัน 10 เหลี่ยมรอบผล มีรสหวาน เนื้อนุ่ม ฉ่ำน้ำ  บวบหอม หรือบวบหวาน หรือบวบเรียบ เป็นบวบอีกชนิดหนึ่งที่มีผิวเรียบผลยาว มีความหอม จึงได้ชื่อว่า บวบหอม มีรสหวานเด่นกว่าบวบเหลี่ยม จึงได้ชื่อว่าบวบหวาน มีให้กินมากช่วงฤดูฝน

บวบงู หรือบวบเงี้ยว ผลออกยาวเรียว ขนาดผลเล็กกว่าบวบอื่น ๆ ผิวเรียบมีลายประขาวเป็นริ้ว ๆ คล้าย ๆ ตัวงูเงี้ยว จึงเรียกว่า บวบงู หรือบวบเงี้ยว รสหวาน ฉ่ำน้ำ เนื้อแน่นนุ่มเช่นกัน มีให้กินช่วงปลายฝนต้นหนาว

บวบเป็นฝักที่ให้ฤทธิ์เย็น มีรสหวาน มีใยอาหารสูงมาก เป็นใยอาหารชั้นดี  ดังนั้น น้ำต้มบวบจึงเป็นอาหารและยา เพราะช่วยลดความร้อน ผ่อนพิษไข้ และเร่งน้ำนมในแม่ลูกอ่อน
ที่บ้านใช้บวบเป็นทั้งอาหารและยา อาหารก็ผัดกับไข่ ร้อน ๆ พร้อมข้าวสักจานก็อร่อยมาก ๆ ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นด้วยซี  ใครที่จะทำอาหารจากบวบก็มีหลากหลายเมนู เช่น ผัดบวบกับกุ้งวุ้นเส้น ผัดบวบกับไข่ แกงบวบกับปลาช่อน ผัดบวบกับเต้าหู้ บวบนึ่งน้ำแดง

คำแนะนำในการลดความดันโลหิตสูง

คำแนะนำในการลดความดันโลหิตสูง
มีคำแนะนำดีๆ มาฝากกันในการลดความดันโลหิตสูง ซึ่งคำแนะนำนี้หากใคร ๆ ปฏิบัติได้ตามคำแนะนำนี้ก็จะช่วยลดความดันโลหิตได้มาก สำหรับคำแนะนำสำหรับการลดความดันโลหิตนั้น เป็นคำแนะนำเพื่อสุขภาพของท่านเอง หากปฏิบัติได้ตามคำแนะนำก็จะไม่ต้องพึ่งหมอมาก  
- จำกัดการบริโภคเกลือ
- สร้างกำลังใจ และขจัดความเครียด
- หมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ
- ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วนจนเกินไป
- เลิกสูบบุหรี่
- ลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์

ผลไม้ที่ช่วยรักษาโรค มีผลไม้อะไรบ้างที่ช่วยรักษาโรค

ผลไม้ที่ช่วยรักษาโรค มีผลไม้อะไรบ้างที่ช่วยรักษาโรค
ผลไม้นอกจากจะช่วยให้เราอิ่มท้องแล้ว  ผลไม้ก็มีประโยชน์มากมาย ผลไม้ยังช่วยรักษาโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย  ผลไม้เมืองไทยมีมากมายหลายชนิด ผลไม้แต่ละชนิดก็มีสรรพคุณต่าง ๆ กัน ขึ้นอยู่กับเราว่าจะนำผลไม้ชนิดใดมาใช้ในการรักษาโรคชนิดใด  หากเรารู้ว่าผลไม้ใดช่วยรักษาโรคใด ๆ แล้วก็จะเป็นการดีที่เราจะหาผลไม้ชนิดที่ดีต่อสุขภาพของเราได้  มาดูกันซิว่าผลไม้ชนิดใดช่วยรักษาโรคอะไรบ้าง



มะม่วง ใช้มะม่วงสุก ปอกเปลือก ฝานเนื้อออกเป็นแผ่นๆ วางบนตะแกรงผึ่งแดด ใช้ผ้าขาวบางคลุมป้องกันแมลงวัน ผึ่งจนแห้ง นำมาใส่ชาม เทนมสดลงไปให้ท่วมเนื้อมะม่วง ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง นำมาคนให้คนป่วยดื่ม เป็นยาบำรุงกำลังอย่างดี หรือใช้เนื้อมะม่วงสุกดองกับน้ำมันพืช โรยผงมัสตาร์ด 1/2 ช้อนชา ทิ้งไว้ 1 คืน รับประทานกับอาหาร ใช้เป็นยาระบายได้เป็นอย่างดี หรือนำมะม่วงพันธุ์ที่มีรสเปรี้ยวจัด เก็บจากต้นใหม่ๆ เป็นมะม่วงดิบ มาต้มทั้งผลจนเหลวเละ ตักเปลือกและเม็ดออก คนให้ข้นเหมือนน้ำซุป ดื่มแก้โรคประสาท แก้เบื่ออาหาร แก้อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ช่วยให้ร่างกายกระชุ่มกระชวยขึ้น


แตงโม น้ำแตงโมดื่มในขณะที่เป็นไข้ตัวร้อน จะช่วยลดความร้อนในร่างกายได้ ส่วนเม็ดแตงโมกินแก้โรคตับ เป็นยาถ่ายพยาธิ หรือถ้ามีอาการปวดกระเพาะปัสสาวะ ให้กินเม็ดแตงโมมากๆ ช่วยบรรเทาได้ สำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน กินแตงโมได้ตามสบาย เพราะแตงโมมีแคลอรีต่ำ มีธาตุโพแทสเซียม และมีแร่ธาตุอื่นๆ รวมทั้งวิตามินที่มีคุณประโยชน์ ส่วนน้ำคั้นจากแตงหอม หรือที่เรียกว่าแคนตาลูป ผสมน้ำกลิ่นกุหลาบ เจือน้ำตาลเล็กน้อย ใช้แทนยาลดไข้ได้เหมือนกัน เม็ดแตงหอมก็นำมาแช่น้ำเกลือ แล้วตากแห้ง แกะเปลือกออก กินเนื้อ แก้โรคตับ ปัสสาวะไม่ออก แก้โรคเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ


สับปะรด สารพัดสรรพคุณ ตั้งแต่ใช้บำรุงผิว โดยล้างหน้าให้สะอาด แล้วใช้เนื้อสับปะรดสุกสับละเอียด พอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก จะช่วยลดความมันบนใบหน้า ทำให้ผิวหน้าสดใส หรือน้ำสับปะรด 2 ช้อนโต๊ะ ผสมไข่แดงดิบ 1 ฟอง น้ำส้มสายชู 1/4 ช้อนชา คนให้เข้ากัน ใช้แช่เล็บ 30 นาที หนังบริเวณรอบๆ เล็บจะอ่อนตัว ทำให้ตัดแต่งหนังรอบเล็บได้ง่าย
นอกจากนี้ สารเอนไซม์ในสับปะรด ช่วยขจัดกลิ่นอาหารคาวที่ติดปากให้หมดไป ควรรับประทานสับปะรดเป็นผลไม้หลังรับประทานอาหารแล้ว และสับปะรดช่วยระบบย่อยอาหาร ป้องกันท้องผูกได้ หรือใช้เนื้อสับปะรด เป็นยากำจัดหูด โดยตัดเนื้อสับปะรดแปะลงบนหูด ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ ทิ้งไว้จนเนื้อสับปะรดเละจึงเปลี่ยนใหม่ ทำเช่นนี้บ่อยๆ หูดจะอ่อนตัวและหลุดหายไปเอง


สตรอว์เบอร์รี่ นำใบสตรอว์เบอร์รี่สดมาแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืน แล้วนำมาอมบ้วนปาก ใช้เป็นยาแก้กลิ่นปากได้อย่างดี ทำให้ลมหายใจสดชื่น เหงือกแข็งแรง แก้โรคปากเป็นแผล หรือใช้กลั้วคอ แก้อาการเจ็บคอ หรือนำใบ สตรอว์เบอร์รี่และรากที่ตากแห้งแล้ว มาใส่โถปั่น ปั่นจนเป็นผงใช้แทนยาสีฟัน ทำให้ฟันขาวเป็นเงางาม หรือนำใบและรากสตรอว์เบอร์รี่ตากจนแห้ง ชงกับน้ำเดือด ดื่มแทนน้ำชา โดยใช้ใบและรากสตรอว์เบอร์รี่ 2 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำเดือด 1 กาขนาดกลาง สำหรับสตรีที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ ไม่สม่ำเสมอ จะหายเป็นปกติ

สำหรับสตรอว์เบอร์รี่สดมีคุณประโยชน์สำหรับผู้ที่เพิ่งฟื้นไข้ คนป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับตับ โรคเหน็บชา หรือโรคปวดตามข้อ โรคเกาต์ และโรคความดันโลหิต หรือใช้ใบสตรอว์เบอร์รี่ซ้อนกันหลายๆ ใบ นำมาประคบแก้รอยช้ำบวมบนร่างกาย

ขอขอบคุณ Teenee.com

13 สิ่งที่ทำให้คุณลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น หุ่นสวยเร็วขึ้น

13 สิ่งที่ทำให้คุณลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น หุ่นสวยเร็วขึ้น
13 สิ่งที่ทำให้คุณลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น หุ่นสวยได้เร็วขึ้น สุขภาพดีขึ้น 13 สิ่งนี้ที่คุณควรให้ความสำคัญ หากคุณต้องการลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น หุ่นสวยเร็วขึ้น ซึ่งมีอาหาร 13 อย่างนี้ไว้ให้ขึ้นใจ เพราะมันจะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้เร็วขึ้นมีอะไรบ้า่ง  เรามาดูกัน


      1. ไฟเบอร์ นอกจากช่วยในระบบขับถ่ายแล้ว ยังช่วยล้างของเสีย และสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ออกจากร่างกายและเส้นเลือดด้วย

      2. นมอุ่น ๆ ช่วยผลิตเมลาโทนินที่ทำให้คุณหลับสบาย เมื่อคุณหลับร่างกายจะเร่งสร้างฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมา

      3. กาเฟอีน ช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึ่ม หรือระบบเผาผลาญในร่างกาย ซึ่งจะทำให้คุณเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น เมื่ออัตราการเต้นของหัวใจถูกกระตุ้น ก็จะส่งผลให้ระบบอื่น ๆ ทำงานเร็วขึ้นไปด้วย

      4. เซลารี่ หรือขึ้นฉ่ายฝรั่ง เหมาะจะเป็นของว่างสำหรับคุณ เพราะมันช่วยในการเผาผลาญแคลอรีได้ดีนัก

      5. สารช่วยในการระบาย ไม่ใช่ยาถ่าย แต่เป็นอาหารที่ช่วยระบายท้อง เช่น ลูกพรุน หรือชา จะช่วยเคลียร์ระบบภายในร่างกาย และรีดเอาของที่ไม่ดีออกไป

      6. หมากฝรั่ง เมื่อปากคุณไม่ว่าง เพราะกำลังเคี้ยวหมากฝรั่งหนึบ ๆ อยู่ นอกจากคุณจะแตะอาหารอื่นน้อยลงแล้ว การเคี้ยวหมากฝรั่งยังช่วยเร่งระบบเผาผลาญให้คุณได้ด้วยนะ แต่ระวังอย่าเคี้ยวมากไป เพราะกรดในกระเพาะคุณอาจเสียหายได้

      7. กล้วย ช่วยกระตุ้นพลังงานในร่างกาย เมื่อคุณมีพลังมากขึ้น และได้ออกกำลัง ร่างกายก็จะนำเอาคาร์โบไฮเดรต หรือแป้งที่สะสมไปใช้

       8. ช็อกโกแลตบาร์ มันไม่ได้ช่วยคุณลดน้ำหนักหรอก แต่อย่างน้อย ๆ การกินของหวานสักหน่อยก็ไม่เสียหาย ดีกว่าที่คุณพยายามจะงดของหวานอย่างสิ้นเชิง จนสุดท้ายแล้ว ก็ลงแดงจนต้องล้มเลิกแผนไดเอ็ตน่ะ

       9. น้ำ สิ่งที่คุณไม่ควรลืม เพราะน้ำช่วยเติมคุณค่าให้ร่างกายคุณอยู่เสมอในระหว่างไดเอ็ต ทั้งยังช่วยชำระล้างของเสีย และเคลียร์ระบบในร่างกาย

      10.ผักสด เปี่ยมด้วยคุณค่าจากน้ำและไฟเบอร์เหมือนกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหาร ควบคุมน้ำตาลในเลือด และให้แคลอรีต่ำ แต่มีมวลรวมค่อนข้างสูงที่จะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มได้ไม่ยาก โดยที่ไม่ได้รับแคลอรีไปมากมาย

      11.เกรปฟรุต เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับในการช่วยไดเอ็ต คุณสามารถใส่ในชามซีเรียลแล้วกินคู่กันในตอนเช้า ก็จะได้อาหารที่มีไฟเบอร์สูง และยังเหมาะจะรับประทานเป็นของว่างด้วย ซึ่งปริมาณน้ำที่สูงมากในเกรปฟรุตช่วยล้างสารที่ไม่ดีออกจากร่างกาย และยังมีคุณค่าจากสารพัดวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบี คอมเพล็กซ์ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพให้ร่างกาย ทำให้คุณดึงคาร์โบไฮเดรตที่ได้รับไปใช้ และไม่สะสมอยู่ในร่างกาย จึงส่งผลให้ไขมันสะสมลดลงไปด้วย

      12.ผลไม้สด ผลไม้สดอุดมไปด้วยน้ำ เช่น แอปเปิ้ล สับปะรด ส้มโอ สตรอวเบอร์รี่ และเกรปฟรุต อุดมไปด้วยน้ำถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนแตงโมนั้นให้น้ำมากถึง 92 เปอร์เซ็นต์ คุณอาจกินซีเรียล กินผลไม้ หรือเสริมด้วยผลไม้จำพวกเบอร์รี่เข้าไปหลังอาหารแต่ละมื้อ

      13.โปรตีน เปลี่ยนจากการทอดมาเป็นย่างแทนสำหรับเนื้อสัตว์ โดยสุดยอดของโปรตีนที่มีประโยชน์มากก็คือ เนื้อปลาแซลมอน ไก่งวง ที่ให้โปรตีนเต็มเปี่ยมแต่แคลอรีไม่สูงเกิน และปริมาณไขมันอิ่มตัวก็น้อย สำหรับคนรับประทานมังสวิรัติ ก็เน้นเป็นถั่วเหลืองแทน

ท่าโยคะกระตุ้นระบบขับถ่าย


ท่าโยคะกระตุ้นระบบขับถ่าย โยคะเพื่อสุขภาพ
ระบบขับถ่ายถือว่าเป็นระบบที่สำคัญมาก  หากไม่ถ่ายตอนเช้าแล้วร่างกายก็จะต้องนำอาหารเก่า ๆ ที่เรารับประทานมาแล้วนำกลับมาใช้งานอีก  ฉะนั้นการขับถ่ายจึงถือว่าเป็นส่วนสำคัญยิ่งของร่างกายเรา  การขับถ่ายที่ทำงานเป็นปกติมีส่วนสำคัญต่อการมีสุขภาพดี โยคะท่านี้ช่วยให้ไตและลำไส้ถูกนวด ทำให้ระบบขับถ่ายเดินเครื่องได้สมบูรณ์ หากใครที่ต้องการขับถ่ายให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นก็ลองทำโยคะท่านี้ดู

การทำโยคะ  เริ่มการทำโยคะ
     1. นั่งตรงตัว เหยียดขาซ้ายออกไป พับขาข้างขวาเข้ามา โดยให้ส้นเท้าของขาขวาติด กับต้นขาข้างซ้าย มือวางไว้บนเข่าซ้าย
     2. หายใจเข้าพร้อมกับเคลื่อนมือทั้งสองข้างยกขึ้นตรงเหนือศีรษะ แขนแนบใบหู
     3. หายใจออกพร้อมกับค่อยๆ โน้มตัวต่ำลงไป เอามือทั้งสองข้างจับที่ปลายเท้าซ้าย โดยให้ข้อศอกทั้งสองข้างแตะพื้น หน้าผากวางลงบนเข่า
     4. ค้างท่านับ 1-10 หายใจปกติ
     5. ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้โดยทำสลับกับขาอีกข้างหนึ่ง
     6. จาก 1-5 นับเป็นหนึ่งรอบ 


      หลังจากทำโยคะเสร็จแล้ว ดื่มน้ำสักแก้ว จะรู้สึกสดชื่น สบายท้อง สบายตัว ลองทำดู โยคะเพื่อสุขภาพ


ขอขอบคุณ TeeNee.com

อาหารที่ช่วยคลายความเครียดได้

อาหารที่ช่วยคลายความเครียดได้
อาหารที่รับประทานแล้วช่วยคลายความเครียดได้นั้่นก็มีหลายชนิด หลายอย่างด้วยกัน บ้างก็เป็นผลไม้ บ้างก็เป็นอาหารที่ต้องรับประทานกับข้าว  ซึ่งอาหารเหล่านี้สามารถช่วยคลายความเครียดได้ ซึ่งมีบทความของ "นายแพทย์ กฤษดา ศิรามพุช" ผ.อ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ได้เขียนเอาไว้ ในเรื่องอาหาร

อาหารที่ช่วยคลายความเครียดได้ก็มีดังนี้

- แตงโม
 มีธาตุเย็นจากน้ำและมี "อาจินีน" เป็นเคมีที่ช่วยให้หลอดเลือดขยายช่วยให้กระปรี้กระเปร่า มี "ไลโคปิน" ช่วยต้นสนิมแก่จากธาตุเครียดในตัวได้ดี นอกจากนั้นพืชพวกแตง อาทิ แตงไทย,แตงกวา, แตงร้าน, แตงแคนตาลูป ก็ช่วยได้เช่นกัน

 - ส้มตำ มีกรดเผ็ด ซึ่งอุดมในพริกนั่นเอง กรดเผ็ดนี้เองที่เป็นตัวนำให้ "สารสุข" ในสมองหลั่งจนอิ่มเอิบใจ

 - ใบขี้เหล็ก , สะเดา, มะระขี้นก โดยเฉพาะขี้เหล็กมีสาร "บาราคอล" ที่ดับอารมณ์ซึมเศร้า

- น้ำผึ้ง เป็นอาหารอารมณ์ดี กินแล้วน้ำตาล "ฟรุกโตส" ในน้ำผึ้งจะช่วยกล่อมอารมณ์ให้สบายใจมีพลัง

 - ข้าวโพด, กระยาสารท และธัญพืช มีธาตุอารมณ์ดีชื่อ "ทริปโตแฟน" เยอะ จะเปลี่ยนไปเป็นเคมีอารมณ์ดีชื่อ "ซีโรโทนิน" ใครมีเคมีดีๆ อย่างนี้เยอะก็ทำให้เป็นสุขใจ แก้ปวดหัว รักษาลำไส้แปรปรวน ช่วยต้านซึมเศร้าและทำให้เราแก่ช้าลงด้วย

 - แซนด์วิชทูน่า มี "โอเมก้า 3" และวิตามิน "บี 12 " มาก ช่วยบำรุงประสาท

ปัจจัยที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง (ภาค2)

ปัจจัยที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง (ภาค2)
ปัจจัยที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ และปัจจัยที่ควบคุมได้ ซึ่งเราต้องมาศึกษากันว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่เราสามารถควบคุมได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับเรามากหากเราได้ศึกษาปัจจัยที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงซึ่งมีปัจจัยหลายประการด้วยกัน
  - อาหาร เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง เพราะอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวันส่งผลต่อระดับความดันโลหิตโดยตรง การได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ เช่น โปแตสเ๋ซียมจากผัก ผลไม้ ย่อมช่วยให้ความดันโลหิตลดลงได้ ในทางตรงกันข้าม การรับประทานอาหารที่มีรสเค็ม หรือการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปก็สามารถทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นได้เช่นกัน

- น้ำหนัก  น้ำหนักตัวที่มากเกินไปก็มีผลต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง  กล่าวคือทุก ๆ 5 กิโลกรัมของน้ำหนักตัวก็คือ ความดันโลหิตที่สูงขึ้น 5 มิลลิเมตรปรอท ดังนั้น  จึงควรที่จะควบคุมน้ำหนักของเราอยู่เสมอด้วยการควบคุมปริมาณอาหารที่บริโภคในแต่ละวัน  และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

- ความเครียด  ถือเป็นปัจจัุยหลักปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นได้ แม้ว่าจะยังไม่มีบทสรุปจากการศึกษาวิจัยออกมายืนยันแน่ชัด แต่การลดความเครียดในชีวิตให้น้อยลงก็ถือเป็นเรื่องที่ดี ิยิ่งปฏิบัติร่วมกับการควบคุมอาหารและน้ำหนักแล้วก็จะทำให้การลดระดับความดันโลหิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- บุหรี่ การงดสูบบุหรี่ช่วยลดระดับความดันโลหิตลงได้ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะ้เกิดโรคร้ายแรงอื่น ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็งปอด ได้อีกด้วย ทางที่ดีที่สุดจึงควรเลิกสูบบุหรี่เสีย

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ปัจจัยที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง

ปัจจัยที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง
ปัจจัยที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงนั้น มีปัจจัยหลายอย่างประกอบกันจึงทำให้เกิดความดันโลหิตสูงได้ ความดันโลหิตสูงมาจากปัจจัยต่าง ๆ  ซึ่งมีผลต่อสุขภาพโดยรวมของคุณมากเพียงใด คุณก็ควรหันมาใส่ใจดูแลระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติอยู่เสมอ  วิธีหนึ่งก็คือการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้คุณเกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้ ปัจจัยเสี่ยงนี้มีอยู่หลายประเภทซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ด้วยกันนั่นคือ ปัจจัยที่คุณควบคุมไม่ได้ และปัจจัยที่คุณควบคุมได้



1.ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ได้แก่
- เชื้อชาติ  โดยพบว่าคนผิวดำมีโอกาสเกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้มากกว่า
- พันธุกรรม
- เพศ โดยพบว่า เพศชายมีโอกาสเกิดความภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่าเพศหญิง

- อายุ ยิ่งอายุมากขึ้น โอกาสเกิดภาวะความดันโหลิตสูงก็มากขึ้นด้วย

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นได้อย่างไร

ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นได้อย่างไร
ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นมีสาเหตุที่ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นได้ก็คือ การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเลือดที่เพิ่มมากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงความต้านทานพื้นผิวของผนังหลอดเลือดอันเป็นผลมาจากการทำงานของร่างกายที่สัมพันธ์กัน เช่น หากร่างกายมีปริมาณน้ำในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น ปริมาณเลือดจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะเพิ่มความต้านทานพื้นที่ผิวของหลอดเลือดโดยกดการขยายตัวของเส้นเลือด เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดที่ผ่านออกมาให้อยู่ในระดับปกติ ทำให้เส้นเลือดหดเล็กลงอย่างมาก เป็นเหตุให้ร่างกายจำเป็นต้องใช้ความดันในการส่งเลือดผ่านหลอดเลือดสูงขึ้น ก่อให้เิกิดภาวะความดันโลหิตสูงในท้ายที่สุด


นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางเคมีเพียงเล็กน้อยในร่างกายก็อาจทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อไตตรวจพบว่าร่างกายเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ ก็จะผลิตฮอร์โมนบางอย่างออกมาซึ่งส่งผลให้เส้นเลือดหนาและตีบแคบมากขึ้น  หรือการที่ร่างกายสร้างไนตริกออกไซด์ซึ่งมีผลต่อการขยายตัวของเส้นเลือดลดลง ก็สามารถก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้เช่นกัน

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความดันโลหิตเท่าไรที่เรียกว่า ปกติ

ความดันโลหิตเท่าไรที่เรียกว่า ปกติ
คุณหมอเรียกเราไปวัดความดันโลหิตแล้วบอกว่า ความดันโลหิตของคุณปกติน่ะครับ  แล้วท่านทราบหรือไม่ว่าความดันโลหิตปกตินั้นมันควรจะมีค่าเท่าไร ซึ่งเราก็ควรจะทราบค่าของความดันโลหิตไว้บ้างเพื่อจะได้บอกคนที่เรารัก หรือว่าคนที่เรารู้จักได้บ้างพอสมควร


ค่าความดันโลหิตที่เหมาะสมของคนปกติก็คือ 130/85 หากคุณตรวจวัดระดับความดันโลหิต แล้วแต่ค่าที่ได้ออกมาสูงกว่าค่าข้างต้นนี้  ก็อาจบอกได้ว่าคุณมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้  ซึ่งคุณสามารถพิจารณาว่าระดับความดันโลหิตของคุณบ่งบอกถึงความผิดปกติของร่างกายหรือไม่ได้จากตารางต่อไปนี้

ระดับขั้นต้น                                                          ความดันโลหิต
เหมาะสม                                                             ไม่เกิน  120/80
ปกติ                                                                     ไม่เกิน  130/85
สูงแต่ยังปกติ                                                        130/85-139/89
ความดันโลหิตสูงขั้นที่1                                       140/90-159/99
ความดันโลหิตสูงขั้นที่2                                       160/100-179/109
ความดันโลหิตสูงขั้นที่3                                       180/110-209/119
ความดันโลหิตสูงขั้นที่4                                        มากกว่า 210/120

ค่าความดันโลหิต คืออะไร

ค่าความดันโลหิต คืออะไร
ค่าความดันโลหิต ที่เราไปวัดความดันเวลาที่เราไปโรงพยาบาลนั้น เราทราบกันหรือไม่ว่าเวลาที่คุณหมอบอกว่า ความดันโลหิตของคุณปกติ หรือคุณหมออาจบอกว่า ความดันโลหิตของคุณสูงน่ะ  คุณลืมทานยาลดความดันหรือเปล่า  แล้วความดันโลหิตปกติ ความดันโลหิตสูงนั้น มันมีค่าความดันโลหิตเท่าไร  ทราบกันหรือไม่ 


เวลาที่คุึณไปพบแพทย์ พยาบาลมักจะตรวจวัดระดับความดันโลหิตของคุณอยู่เสมอ ซึ่งเลขที่ออกมาจะมี 2 ค่า เรียกง่าย ๆ ว่า "เลขตัวบน" และ "เลขตัวล่าง" เช่น 120/80 เป็นต้น

ตัวเลขที่มีค่าสูงกว่า หรือเลขตัวบน คือ ค่าความดันในเส้นเลือดแดงในจังหวะที่หัวใจบีบตัวเพื่อสูบฉีดเลือดออกมาจากหัวใจห้องล่างซ้าย (Systolic Blood Pressure) ซึ่งค่าความดันค่านี้จะมีความเกี่ยวข้่องกับปริมาณเลือดในหัวใจ

ตัวเลขที่มีค่าต่ำกว่าหรือเลขตัวล่าง คือ ค่าความดันในเส้นเลือดแดงขณะที่กล้ามเนื้อหัวใจคลายตัวแล้วเนื่องจากหัวใจห้องล่างซ้ายสูบฉีดเลือดออกไปจนหมด (Diastolic Blood Pressure) ซึ่งค่ีาความดันค่านี้จะเกี่ยวข้องกับความต้านทานของหลอดเลือด

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

7 อาหารบำรุงสมอง

7 อาหารบำรุงสมอง
7 อาหารบำรุงสมอง ซึ่งสมองถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดของร่างกาย เพราะว่าสมองมีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว พฤติกรรม และรักษาสมดุลภายในร่างกาย หน้าที่ของสมองยังมีเกี่ยวข้องกับการรับรู้ อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว และความสามารถอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ ดังนั้นน้องๆ ควรจะรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพิ่มเสริมสร้างให้สมองของเราพร้อมเปิดรับสิ่งต่างๆ 


1. ถั่ว มีทั้งโปรตีน ใยอาหาร และไขมันที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ ยังมีวิตามินอีซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง


2. ไข่ อุดมไปด้วยโปรตีน โดย 1 ฟองจะมีโปรตีนคุณภาพดี 6 กรัม และกรดอะมิโนสำคัญอีก 9 ชนิด อีกทั้งยังมีไขมันซึ่งให้พลังงานแก่สมองได้นานหลายชั่วโมง ซีลีเนียมในไข่ออร์แกนิกก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้


3. สาหร่ายทะเล สาหร่ายทะเล มีไอโอดีนและโอเมก้า 3 สูงจัดว่าเป็นอาหารบำรุงสมองอย่างหนึ่ง ที่สำคัญและยังช่วยให้เส้นผมดกดำได้อีกด้วย


4. มะเขือเทศ ในมะเขือเทศ มันจะมีไลโคพีน ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ สามารถช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระที่เราสามารถพบในอาการ ของโรควิกลจริต และอัลไซเมอร์

5. นมถั่วเหลือง มีวิตามินบี 6 ที่ช่วยการทำงานของสมอง สร้างระบบภูมิต้านทานของร่างกาย อีกทั้งยังมีวิตามินอี และกรดไขมันจำเป็นอื่น ๆ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส มีธาตุเหล็ก ที่เสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง รวมทั้ง เลซิธิน (Lecithin) สารประกอบของฟอสฟอรัสกับไขมัน ที่ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว โรคหัวใจ และช่วยบำรุงสมองด้วย


6. กล้วย มีส่วนประกอบของวิตามิน B6 ที่ช่วยในการทำงานของสมองทั้งยังรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้คงที่ ซึ่งมีผลไปถึงอารมณ์ของคุณด้วย จากการวิจัยพบว่ากล้วยซึ่งอุดมไปด้วยโปแตสเซียมนี้ช่วยให้นักเรียนรู้สึกตื่นตัวมากขึ้นทำให้เรียนได้ดีขึ้นในที่สุด

7. สตรอเบอร์รี ผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเป็นอาหารสมอง เส้นเลือด และหัวใจ ไม่ว่าเด็กๆ ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงวัยก็กินได้ เพราะสตรอเบอร์รี่มีสารอาหารหลากหลาย มีวิตามินซีเป็น 10 เท่าของแตงโม แอปเปิล และองุ่น และมีส่วนช่วยลดโอกาสการเป็นโรคมะเร็งด้วย

คลังบทความของบล็อก