วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

โรคเกาต์ ...โรคปวดข้อที่ป้องกันได้ ไม่ยากอย่างที่คิด

โรคเกาต์ ...โรคปวดข้อที่ป้องกันได้ ไม่ยากอย่างที่คิด

         โรคเกาต์ใคร ๆ ก็ต้องกลัวถึงรสแห่งความเจ็บปวดถ้าหากใคร ๆ ได้เป็นโรคนี้ และเกือบทุกคนก็จะต้องนึกถึงสัตว์ปีกแน่นอนว่าทำให้คนที่เป็นเกาต์ต้องระวัง  จะเป็นอย่างไร ลองอ่านบทความนี้ดีกว่าซึ่งผมก็ไปได้บทความดี ๆ จากเว็บไซต์กระปุกดอดคอม ได้เขียนไว้ว่า เมื่อประมาณ 2,500 ปี ก่อน ฮิปโปเครตีส บิดาแห่งวงการแพทย์สากล ได้พูดถึงโรคๆ หนึ่ง ที่มีอาการปวดตามข้อ โดยเฉพาะหัวแม่เท้า ว่า โรคเกาต์ ซึ่งโรคนี้ตั้งชื่อตามภาษาลาติน “Gutta”หมายถึง การอักเสบบริเวณข้อ 



เริ่มต้นรู้จัก อะไรคือ โรคเกาต์ 

         หากเราจะกล่าวถึง โรคเกาต์ อย่างน้อยที่สุดเราจำเป็นต้องรู้ว่า โรคเกาต์ เป็นโรคที่อยู่ในกลุ่มโรคไขข้ออักเสบ (Arthritis) ซี่งมีโรคอื่นๆ ในกลุ่มคือ ข้อเสื่อม รูมาทอยด์ ข้อต่อกระดูกสันหลังอักเสบ เป็นต้น 



         ส่วนอาการของ โรคเกาต์ มักจะเป็นอาการปวดที่เกิดขึ้นฉับพลัน ถ้าปวดครั้งแรกมักจะเป็นข้อเดียว แต่ถ้าปล่อยไว้นานเกินไป จากข้อเดียวจะลามเป็น 2 และ 3 ข้อ ต่อไป โดยในช่วงแรกๆ มักจะเกิดที่นิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า ข้อเข่า คนที่เป็นข้อมักจะบวม และเจ็บมากจนเดินไม่ไหว ผิวหนังบริเวณนั้นจะตึง ร้อนและแดง เพียงแค่กดเล็กน้อยก็ปวดจนร้องเพลงแจ้แล้ว (โอ้ย ๆ โอ้ย ๆ ) มีอารมณ์ขันนิดหน่อย หากใครเป็นโรคนี้ก็อย่ามาว่าผมน่ะ รู้ว่าเจ็บปวดแน่  แต่ไม่อยากให้เครียดก็เท่านั้นเอง   


         โดยระยะแรก อาการ โรคเกาต์ จะเป็นอยู่ไม่กี่วันแล้วหายไปเอง และกำเริบที่ข้อเดิมทุก 1-2 ปี แต่ต่อมาจะเป็นถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นเดือนละหลายครั้ง อาการปวดมักเริ่มตอนกลางคืน หรือหลังดื่มแอลกอฮอล์ คนที่เป็นมากอาจมีผลต่อสุขภาพจิตด้วย 


         ในรายที่เป็น โรคเกาต์ เรื้อรังอาจมีตุ่ม ก้อน ขึ้นตามเนื้อตามตัว เราเรียกตุ่มนั้นว่า ตุ่มโทไฟ (Tophi) บางครั้งตุ่มก้อนนั้นอาจแตก แล้วมีสารเหมือนแป้งเปียกไหลออกมา กลายเป็นแผลเรื้อรัง หายช้า แล้วในที่สุดข้อต่างๆ จะค่อยๆ พิการจนใช้งานไม่ได้ 

         โดยอัตราความเสี่ยงที่จะเป็น โรคเกาต์ พบว่าผู้ชายมีโอกาสเป็น โรคเกาต์ ได้มากกว่าผู้หญิง ประมาณร้อยละ 90 และมักเป็นเมื่ออายุสูงกว่า 40 ขึ้นไป สำหรับผู้หญิงมักจะเป็น โรคเกาต์ ช่วงหลังหมดประจำเดือนแล้ว  ส่วนอาการแทรกซ้อนที่มักจะเกิดร่วมด้วยกับ โรคเกาต์ หากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วย โรคเกาต์มักจะมีอาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด นิ่วในทางเดินปัสสาวะ และภาวะไตวาย เพราะฉะนั้นก็ต้องระวัง ไม่ใช่เป็นแค่โรคเกาต์อย่างเดียวแล้วจบ....ไม่ใช่    มันไม่เหมือนเลือกผู้แทนว่าต้องเลือกได้แค่เบอร์เดียวเท่านั้น  



เรียนรู้สาเหตุ โรคเกาต์ กันสักหน่อยเถอะ 

         โรคเกาต์ เป็นโรคที่เกิดจากการตกตะกอนของ กรดยูริก ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่ง ที่ได้จากการย่อยสลายของสาร เพียวริน (Purine) ที่มีมากในเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ปลาหมึก หอย ปู หรือปลาตัวเล็กที่กินทั้งกระดูก เช่น ปลาไส้ตัน ปลาซาดีนกระป๋อง นอกจากนี้ยังมีอยู่ในผักยอดอ่อนบางประเภทด้วย เช่น เห็ด กระถิน ชะอม ใบขี้เหล็ก สะตอ เป็นต้น แหมของชอบทั้งนั้นเลย  ใครเป็นแล้วก็นาน ๆ กินสักครั้งก็พอ  หรือไม่รับประทานก็จะยิ่งดี


         โดยปกติแล้ว คนที่เป็น โรคเกาต์  มักจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของกรรมพันธุ์ จากการสำรวจผู้ป่วย โรคเกาต์ พบว่า มักมีคนในครอบครัวเป็น โรคเกาต์ ร่วมอยู่ด้วย อันนี้จริงแท้แน่นอน เพราะว่าเจ้าคุณพ่อผมก็เป็น ผมก็มีแนวโน้มจะเป็นเหมือนกัน ไปตรวจสุขภาพมา คุณหมอบอกว่า ยูริคอยู่ในระดับ 7.8 แล้ว เพราะว่าถ้า ยูริค เกิน 8 ก็เป็นโรคเกาต์แน่นอน ซึ่งตอนนี้ก็ใกล้แล้วซิ ดังนั้น หากใครรู้ว่าคนในครอบครัวมีประวัติการเป็น โรคเกาต์  ก็ควรระวังในเรื่องการกินอาหารเป็นพิเศษ เพราะในคนปกติทั่วไป หากกินเนื้อสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ และผักยอดอ่อนประเภทที่กล่าวมาแล้วในปริมาณมาก ร่างกายจะมีการสร้างกรดยูริกมากขึ้น แต่ก็สามารถขับกรดยูริกส่วนเกินออกทางไตได้ 

         ส่วนคนที่เป็น โรคเกาต์ หากกินอาหารที่มีสารเพียวรินมาก ร่างกายจะสร้างกรดยูริกขึ้นมา แต่ไม่สามารถขับออกได้หมด จึงมีการสะสมกรดยูริกส่วนเกินไว้ในร่างกาย แล้วตกตะกอนอยู่ตามข้อ ตามผนังหลอดเลือด ในไต อวัยวะต่างๆ และทำให้เป็น โรคเกาต์  ขึ้นได้ 

         นอกเหนือจากการกินอาหารที่มีเพียวรินเยอะแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิด โรคเกาต์ด้วย เช่น อาการบาดเจ็บจากการกระแทกบ่อยๆ การบริโภคแอลกอฮอล์ อากาศเย็น และผลข้างเคียงจากยา เช่น แอสไพริน ยารักษาวัณโรค ยาขับปัสสาวะ 

อาหารสำหรับผู้ป่วย โรคเกาต์ 

         เนื่องจาก โรคเกาต์ เป็นโรคที่มีลักษณะเรื้อรัง รักษาให้หายได้ยาก ดังนั้น ผู้ที่เป็น โรคเกาต์จำเป็นต้องดูแลสุขภาพของตนเอง ผู้ที่เป็น โรคเกาต์ นั้น ควรลดอาหารที่ก่อให้เกิดกรดยูริกมาก ดังนั้น อาหารสำหรับผู้ป่วย โรคเกาต์ ควรมีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ ประกอบด้วยอาหารหลัก 5 หมู่ บางคนบอกว่าหมู่เดียวก็กินไม่ไหวแล้ว (หมู่บ้าน) ไม่ใช้อย่างนั้น หมายถึงสารอาหารครบ 5 หมู่ เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน เราจึงเสนออาหารในแนวชีวจิตมาให้ท่านได้ลองปฏิบัติกัน 


          คาร์โบไฮเดรต หรือแป้ง ต้องเป็นคาร์โบไฮเดรตบริสุทธิ์ ยังไม่ได้ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวแดง(ไม่ใช่ข้าวในเรือนจำน่ะ) แต่เป็นข้าวที่มีสีแดง ๆ  ข้าวซ้อมมือ ถ้าเป็นขนมปังขอให้เป็นขนมปังโฮลวีท โดยปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ต้องรับประทาน คือ 50 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ 

          ผัก มีทั้งผักสด และผักสุก คนที่เป็น โรคเกาต์ สามารถเลือกผัก ที่ไม่ก่อให้เกิดกรดยูริกตกค้างในกระแสเลือดมากเกินไปได้ โดยปริมาณผักที่เราจะรับประทานคือ 25 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ 

          โปรตีน แม้คนที่เป็น โรคเกาต์ จะไม่สามารถรับประทานอาหารประเภทโปรตีนได้มาก แต่ก็มีโปรตีนบางประเภทที่สามารถกินได้ เช่น เนื้อปลา โดยปริมาณที่รับประทานคือ 15 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ อย่างไรก็ตามเรากินสักอาทิตย์ละครั้ง 2 ครั้ง ก็ดีเหมือนกัน เพื่อให้ร่างกายปรับอยู่ในระดับสมดุลได้ดี ถึงอย่างนั้นผู้ป่วย โรคเกาต์ ควรหลีกเลี่ยงโปรตีนจากถั่วต่างๆ เช่น ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว เป็นต้น เพราะถั่วเหล่านี้มีสารเพียวรีนสูง 
(Purine)

          ในหมวดเบ็ดเตล็ด ก็ให้เน้นในเรื่องผลไม้ต่างๆ เช่น มะละกอ ฝรั่ง พุทรา ผลไม้แห้ง และสาหร่ายทะเล โดยปริมาณรวมกันแล้ว 10 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ 


         ทั้งนี้ คนที่เป็น โรคเกาต์ แม้จะมีอาการปวดตามข้อต่างๆ เราก็ควรจะออกกำลังกายเสริมด้วย ด้วยการออกกำลังกายง่ายๆ ที่ไม่กระทบข้อที่ปวดมากนัก แต่หากท่านใดมีอาการดีขึ้นแล้ว การรำตะบอง ซึ่งเป็นรูปแบบการออกกำลังกายในแนวชีวจิต ก็น่าสนใจทีเดียว เพราะเป็นการบริหารกระดูกสันหลัง ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมประสาท ซึ่งเมื่อประกอบกับการรับประทานอาหารที่ถูกต้องแล้ว จะช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดี หลังจากนั้นก่อนนอนก็สวดมนต์สักเล็กน้อย และก็นั่งสมาธิภาวนาเพื่อให้จิตใจไม่ว้าวุ่น ไม่วิตกกังวล อาการก็จะดีทั้งร่างกายและจิตใจ

วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2556

มะเฟือง สรรพคุณเสริมสร้างกระดูกและฟัน ควบคุมการเต้นของหัวใจให้ปกติ


มะเฟือง สรรพคุณเสริมสร้างกระดูกและฟัน ควบคุมการเต้นของหัวใจให้ปกติ
หากพูดถึงมะเฟืองตอนเราเรียนศิลปะคงจำกันได้ครูนำมะเฟืองมาหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วก็จุ่มสีแล้วก็นำมาวางบนกระดาษก็จะได้รูปดาว หลากหลายสีตามต้องการเป็นที่ชื่นชอบของเด็กนักเรียนเป็นอย่างมากมะเฟืองนอกจากจะทำเป็นรูปดาวแล้วการปลูกถือว่าเป็นต้นไม้มงคลนำความเจริญรุ่งเรืองสำหรับผู้ปลูกด้วยเช่นกัน 


เกร็ดความรู้กี่ยวกับ "มะเฟือง" ผลไม้ในประเทศไทยนั้นมีหลากหลายชนิดแต่ในวันนี้เราจะมาแนะนำผลไม้อย่าง มะเฟือง ให้เพื่อนๆ นั้นได้เข้าใจกัน
มะเฟือง นั้นเป็น“ผลไม้”ที่เรานั้นรู้จักกันมาตั้งนาน หรืออยู่คู่กับคนไทยมานานเป็นอย่างมากและ มะเฟือง นั้นเป็นต้นไม้เนื้ออ่อน ที่ยืนต้นที่มีขนาดกลาง และยังมีลักษณะที่เป็นทรงพุ่ม มีทั้งตั้งตรงและกึ่งเลื้อย และบริเวณลำต้นนั้นมีสีน้ำตาล เปลือกลำต้นไม่เรียบ และใบนั้นเป็นแผงที่คล้ายกับใบมะยม ผลของมะเฟืองนั้นมีผลอ่อนสีเขียว สุกแล้วจึงจะมีสีเหลืองใส เป็นผลไม้ที่มีรูปร่างแปลก และถ้าเวลาหั่นขวางจะเป็นรูปดาวที่สวยงาม  รสชาติมีทั้งหวานและเปรี้ยวแล้วแต่สายพันธุ์  อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 เป็นต้น


“ต้นมะเฟือง” นั้นมีต้นกำเนิดของมะเฟืองอยู่ในทวีปเอเชีย และยังเป็นไม้ต้นพื้นเมืองของประเทศอินโดนีเซีย อินเดียและศรีลังกา ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทย มาเลเซีย และบางส่วนของเอเชียตะวันออกเป็นที่นิยมมาก

สำหรับคุณค่าตามสารอาหาร มะเฟืองจะช่วยเสริมสร้างกระดูก และฟันนั้นให้แข็งแรงอีกด้วย และยังสามารถควบคุมการเต้นของหัวใจให้ได้อย่างสม่ำเสมอ และสามารถควบคุมกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดแข็งตัวง่ายนั้นเอง และยังมีฤทธิ์กล่อมประสาทได้อีกด้วย ช่วยระงับความฟุ้งซ่าน จึงช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาการนอนหลับ
ใบมะเฟือง ใบสดๆ นำมาตำเป็นยารักษาโรคอีสุกอีใสและกลากเกลื้อน นำมาต้มรับประทานเป็นยาถอนพิษไข้
ผลมะเฟือง นำมาต้มรับประทานเป็นยาแก้บิด อาเจียนเป็นเลือด ขับปัสสาวะ ปวดฟัน นิ่ว และแก้ไขเลือดออกตามไรฟัน
เปลือกลำต้นมะเฟือง ใช้ทาภายนอก แก้ผดผื่นคันตามร่างกาย

น้ำมะเฟือง นำมาดื่มแก้อาการเมาสุรา เมารถ แก้ไข้ ท้องร่วง
“มะเฟือง” นั้นสามารถที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังควบคุมการเต้นของจังหวะของหัวใจให้ได้อย่างสม่ำเสมอ ควบคุมกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดแข็งตัวง่าย มีฤทธิ์กล่อมประสาท ช่วยระงับความฟุ้งซ่าน จึงช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาการนอนหลับได้อีกด้วย

อาหารป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่น และบำรุงสุขภาพ

อาหารป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่น และบำรุงสุขภาพ
ความมีริ้วรอยเหี่ยวย่นเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุก ๆ คนไม่ชอบแน่นอน แม้แต่ผู้ชายเองก็ไม่ชอบ เพราะว่าริ้วรอยความเหี่ยวย่นนั้นทำให้บุคคลิกภาพของเราดูไม่ดีเอาเสียเลย นอกจากนั้นความมีริ้วรอยเหี่ยวย่นยังบ่งบอกถึงปัญหาด้านสุขภาพทั้งภายนอก ภายในอีกด้วย แล้วเราจะมีวิธีในการดูแลรักษาสุขภาพให้ปราศจากริ้วรอยเหี่ยวย่นได้อย่างไรให้ถูกต้องและได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
หากเราดูแลสุขภาพกาย และใจแล้ว ปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ ก็ไม่เกิดขึ้นแน่นอนเราจะมีวิธีอย่างไรให้ริ้วรอยของเรานั้นมีน้อย หรือไม่มีเลย


น้ำมันมะกอก มีอัตราไชมันอิ่มตัวต่ำมาก ดังนั้นถ้าใช้น้ำมันมะกอกปรุงอาหารจะมีปริมาณไขมันสะสมในร่างกายน้อยมาก  วิธีเลือกใช้ต้องชนิด extra virgin เพราะจะมีความบริสุทธิมากที่สุด และยังมีสารช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งอีกด้วย

แซลมอน
เนื้อปลาแซลมอนเมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 โปรตีน และวิตามินเอ ซึ่งจำเป็นสำหรับสมองและหัวใจ หากกินแซลมอนร่วมกับผลไม้ ผัก ธัญพืช ถั่ว จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และเบาหวาน  นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการเครียด และผื่นแพ้อีกด้วย


น้ำผึ้ง
น้ำผึ้งมีสารอาหารชั้นเลิศช่วยในการเยียวยาการติดเชื้อของแผล เก็บความชุ่มชื้น และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวอีกด้วย


วิธีเก็บน้ำผึ้ง  ควรเก็บในอุณหภูมิห้อง ไม่ควรใส่ตู้เย็น และไม่ควรเก็บนานเกิน 6 เดือน ไม่ควรให้ทารกเกิน 1 ปี กินน้ำผึ้ง เพราะอาจมีอาการแพ้

โยเกิร์ต
โยเกิร์ต มีคนบริโภคมานานกว่า 10,000 ปีแล้ว มีการยอมรับว่าช่วยเยียวยา ปัญหาที่เกิดจากระบบย่อยอาหาร ช่วยล้างพิษและทำให้อายุยืน


ชา
ไม่ว่าการผลิตชาจะมาจากกระบวนใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีสารแอนติออกซิเดนต์สูง ซึ่งช่วยชะลอวัยได้


ปลาซาดีน
เป็นปลาน้ำเย็นที่เต็มไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 โปรตีน และแคลเซียม พบว่าซาดีน 3 ออนซ์ เท่ากับนม 1 แก้วหากไม่มีนมดื่มก็รับประทานปลาซาดีนก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน


สุดท้ายก็ต้องดูแลสุขภาพจิตของเราด้วยให้เป็นคนที่มีจิตใจที่ดี จิตใจสงบ จิตใจที่ไม่อาฆาตพยาบาต นั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนา ให้ภายในจิตใจของเรามีแต่ความเมตตา และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  สุขภาพทั้งภายใน ภายนอก ก็จะดีปราศจากริ้วรอยเหี่ยวย่น สุขภาพดีอายุยืนยาวด้วยครับ

วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

ใบย่านาง สรรพคุณลดความดันโลหิต แก้โรคเบาหวาน ลดความอ้วน


ใบย่านาง สรรพคุณลดความดันโลหิต แก้โรคเบาหวาน ลดความอ้วน
ใบย่านางหากพูดกับคนรุ่นใหม่แล้ว บางทีอาจจะไม่รู้จัก แต่หากพูดกับคนรุ่นกลาง ๆ คนแล้วก็จะรู้ดีว่าใบย่านางมีประโยชน์อยางไร ใบย่านางที่เราเคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก เห็นปู่ย่าตายาย นำใบย่านางมาประกอบอาหาร ซึ่งถือว่าเป็นสมุนไพรชั้นเลิศเลยทีเดียว  เพราะว่าใบย่านางมีสรรพคุณมากมาย ซึ่งเราก็จะได้ทราบกันต่อไป  

ใบย่านางนั้นมีสมุนไพรลดความอ้วน,แก้โรคเบาหวาน,ความดัน,หัวใจ มะเร็ง,ภูมิแพ้,ร้อนใน,ไซนัสจมูกตัน,ไมเกรน,ริดสีดวงทวาร,ปอดร้อนนอนกรน กรดไหลย้อน ฯลฯ
สรรพคุณเยอะแบบนี้ หลังจากเจอปัญหาด้านการจราจรในเมืองใหญ่ อันเป็นผลมารถยนต์คันแรก ก็หันมาทำน้ำใบย่านางทานกันให้ใจเย็นดีกว่า

ส่วนผสม+ ใบย่านาง
+ ใบเตย
+ น้ำเปล่า
วิธีทำน้ำใบย่านาง
1.นำใบย่านางมาประมาณ 30–50 ใบ ต่อน้ำ 4 ลิตรครึ่ง
2.ผสมใบเตยประมาณ 10 ใบ ขยี้กับน้ำให้สะอาด
3.ตำหรือปั่นด้วยมือ กรอกด้วยผ้าขาวบาง นำกากมาปั่นซ้ำ จนหมดสีเขียว
4.กรองเอาแต่น้ำ เก็บไว้ในตู้เย็น ทานได้ประมาณ 4–5 วัน
ผู้ป่วยเบาหวานควรทาน เพราะจะทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง คนที่เป็นเบาหวาน ตับอ่อนไม่หลั่งอินซูลิน เหตุที่ตับอ่อนไม่หลั่งอินซูลิน เพราะร่างกาย เกิดภาวะร้อนเกินไป ระบบการทำงานของร่างกายจึงป้องกันตนเอง ไม่ให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลิน เพื่อไม่ให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาล (หากร่างกายเผาผลาญน้ำตาลร่างกาย จะยิ่งร้อนมากขึ้นไปอีก) น้ำตาลเมื่อไม่ถูกเผาผลาญก็อยู่ในกระแสเลือด แต่ร่างกายนำไปใช้ไม่ได้ เซลล์จึงขาดน้ำตาล มีอาการอ่อนเพลียง่าย
จึงต้องแก้ด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็น ใบย่านางมีฤทธิ์เย็นมาก เมื่อร่างกายได้เย็นลงแล้ว ระบบการทำงานของร่างกายจะสั่งตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน มาเผาผลาญน้ำตาลได้ตามปกติ และเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงาน เซลล์เมื่อได้รับน้ำตาลและใช้น้ำตาลได้ อาการอ่อนเพลียจึงหายไป
พอเราทราบว่าใบย่านางนี้มีประโยชน์มาก ๆ แล้ว และเป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านเราก็ควรที่จะอนุรักษ์และนำมารับประทานซึ่งเป็นพืชสมุนไพรพื้นฐานที่หาง่ายใกล้ตัว แต่มีสรรพคุณดีมาก

ข้าวโพดสีม่วง ต้านโรคมะเร็ง ชลอความแก่


ข้าวโพดสีม่วง ต้านโรคมะเร็ง ชลอความแก่
ความแก่ใคร ๆ ก็ไม่เป็นที่ปรารถนากันแน่นอน หากมีสิ่งดี ๆ หรือว่าอาหารสำหรับชลอความแก่แล้วก็ต้องบอกว่าสุดยอด แถมต้านการเกิดมะเร็งได้อีกด้วยซิ นั่นก็คือ ข้าวโพดสีม่วง ซึ่งเราไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักสำหรับข้าวโพดสีม่วงชนิดนี้  

การรับประทานข้าวโพดสีม่วง หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นเคย กับการรับประทานข้าวโพดสีม่วง อยู่เพราะคนเราอาจจะเคยชินกับการรับประทานข้าวโพดสีเหลืองๆ อยู่แล้ว เพราะว่าวันนี้เราจะมาแนะนำ การทานข้าวโพดสีม่วงนี้ มันดียังไง ช่วยในเรื่องอะไร ทำไมเราต้องหามารับประทาน เพราะว่าข้าวโพดชนิดนี้ สามารถช่วยในการต้านมะเร็ง ช่วยในการ ชะลอความแก่ ได้อีกด้วยล่ะ
เพราะว่า ข้าวโพดเหนียวสีม่วง ที่มีฝักใหญ่ และมีรสชาติ ที่อร่อยนุ่มลิ้น ทั้งหวานและเหนียว โดย ข้าวสีม่วงเข้ม ในเมล็ดแต่ล่ะเม็ดนั้น จะมีสารแอนโทไซยานิน ที่มีคุณสมบัติ สามารถช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยลดโอกาส ของการเกิดโรคมะเร็งชนิดเนื้องอก ช่วยในการเสริมสร้าง ให้ร่างกาย ต่อต้านเชื้อโรค และช่วยในการสมานแผล ช่วยในการเสริม ระบบการทำงานของเม็ดเลือดแดง ภายในร่างกาย ช่วยในการชะลอ การเกิดไขมันอุดตัน ในหลอดเลือด ช่วยควบคุมระดับ น้ำตาล และยังช่วยในการชะลอความแก่ ได้อีกด้วย


ซึ่งข้าวโพดสีม่วงนี้ ที่อุดม ไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่สูง และเหมาะสำหรับคน ที่รักสุขภาพเป็นอย่างมาก ทั้งยังช่วยในการ ต้านมะเร็งแล้ว มันยังสามารถช่วยชะลอความแก่ได้อีก
การที่เราลองหาข้าวโพดสีม่วง เพื่อนำมารับประทานบ้าง เพราะว่าบางคนอาจจะ ไม่เคยคิดที่จะนำมารับประทาน เนื่องด้วยสีของข้าวโพดที่มีสีม่วงๆ ต่างจากที่ เคยนำมารับประทาน ข้าวโพดโดยทั่วไป จะมีสีเหลือง มองดูแลแล้วน่าอร่อยมากกว่า ซะอีก ควรเปลี่ยนความคิดใหม่ซะ เพราะว่าข้าว โพดสีม่วงทั้งอร่อย และมันยังมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา ช่วยให้เราไม่แก่เร็วขึ้นอีกด้วย เพียงเราลองหามารับประทาน

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

อาหารเช้าสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการลดหุ่น

อาหารเช้าสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการลดหุ่น
อาหารเช้าผมถือว่ามีความสำคัญมาก ผมเองต้องรับประทานอาหารเช้าสม่ำเสมอ บางคนคิดว่าอาหารเช้าเพียงแค่กาแฟ ขนมปัง ปาท่องโ๋ก๋ ก็พอแล้ว  แต่สำหรับผมถือว่าอาหารเช้าแบบนั้นไม่เพียงพอ และไม่เป็นประโยชน์สำหรับร่างกายเลย  และที่ตามมา คือ ทำให้เราอ้วน ทำให้มีไขมันส่วนเกินจากอาหารเช้าแน่นอน แล้วเรามีวิธีรับประทานอาหารเช้าอย่างไรให้หุ่นดี ฟิตอยู่เสมอ

ในทุกเช้าที่คุณต้องไปทำงาน อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญมาก เพราะคุณต้องใช้พลังงานจากอาหารมือนี้ในใช้ชีวิตเป็นหลัก แต่ในอีกมุมกลับกัน ทุกๆเช้าก็เป็นช่วงที่เร่งรีบฝ่าการจราจรที่ติดขัด ฝ่าผู้คนมากมาย ต้องไปให้ถึงที่ทำงานทันเวลา อาหารมือเช้าที่จะเป็นไปได้ที่จะลงกระเพราะก็คงหนีไม่พ้น ข้าวเหนียวหมูย่าง ปาท่องโก๋ หรืออาหารตามข้างทางทั่วไปในทางผ่านระหว่างไปทำงาน ซึ่งอาหารเหล่านี้ ล้วนอุดมไปด้วยไขมันทั้งนั้น สำหรับชายหนุ่มที่อยากจะไดเอทแล้ว คงเป็นเรื่องยาก ที่จะหาอาหารเช้าที่เหมาะกับการไดเอทมารับประทาน ลองดูตัวเลือกดีๆ ของอาหารเช้า 4 สิ่งนี้ก่อน อาหารไดเอทง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณไดเอทได้ง่ายขึ้นครับ
1. ไข่คนโรยพริกป่น

ไข่ เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนแม้ในขณะที่คุณต้องการลดน้ำหนัก โปรตีนและไขมันบ้างเพื่อช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพที่ดี แต่วิธีที่จะสามารถเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น ก็คือ สาร capsaicin ในพริกป่นนี่เอง ใส่พริกป่นในปริมาณที่คุณจะรับความเผ็ดได้นะครับ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้คุณปวดท้องได้
2. ปลาทูน่ากระป๋อง
ซื้อปลาทูน่ากระป๋องจากซุปเปอร์มาร์เก็ตติดไว้ก็ดีนะครับ นอกจากจะได้รับโปรตีนที่ดีแล้ว ยังจะช่วยให้ได้ โอเมกา-3ในมือเช้าของคุณอีกด้วย และไม่เพียงเท่านั้น มันยังจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้อีก ร้อยละ 26 ลอง ใส่ปลาทูน่าลงข้อ 1 ก็ได้นะครับ อร่อยไปอีกแบบ
3. ชาเขียว
หากใครบางคนติดกาแฟอยู่ อยากจะให้เปลี่ยนของในแก้วจากกาแฟเป็นชาเขียวดูบ้างครับ ไม่เพียงแต่ชาเขียวจะได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระแต่ยังสามารถเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายของคุณเพิ่มขึ้นได้ถึงร้อยละ 4.6 ในขณะเดียวกัน ถ้าหากคุณดื่มกาแฟ คุณจะต้องดื่มกาแฟถึง 2 แก้ว เพื่อที่จะช่วยในการเผาผลาญพลังงานที่เทียบเท่ากับชาเขียว หรือหากคุณต้องการความสดชื่น ลองเติมน้ำมะนาวลงไปก็ได้ครับ
4. โยเกิร์ต
ในโยเกิร์ตมีวิตามิน D สูง ซึ่งวิตามิน D นี้จะช่วยดูดซึมแคลเซียมจากอาหารที่คุณทานเข้าไป แต่จากการวิจัยในประเทศอเมริกา พบว่า วิตามิน D นั้น ไม่ได้เพียงแต่จะช่วยดูดซึมวิตามิน D เพียงอย่างเดียว แต่ยังจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันอีกด้วย เวลาเลือกทานต้องเลือกแบบรสธรรมชาติปราศจากน้ำตาลด้วยนะครับ



วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

การฝึกสมอง 5 ด้าน ให้ฟิตอยู่เสมอ


การฝึกสมอง 5 ด้าน ให้ฟิตอยู่เสมอ 
สมองของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์มากมาย สมองของคนเรานั้นต่างจากสัตว์ สมองคนเรานั้นมีความลึกลับซับซ้อน สมองของคนเราสามารถคิดและคิดอย่างชาญฉลาด มีสามัญสำนึกในสิ่่งที่สัตว์ฺอื่น ๆ ไม่มี สมองของคนเรามีการจดจำ มีความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดีสามารถแยกแยะสิ่งดีสิ่งเลวได้อย่างดี เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่ฟิตหุ่น จนลืมฟิตสมองเด็ดขาด เพราะในแต่ละวันคุณอาจได้รับโจทย์ยากๆ ในการทำงานแบบไม่ทันตั้งตัว หลายคนอาจไม่รู้ว่านอกจากสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายแล้ว เราก็สามารถฝึกสมองได้ด้วย โดยสมอง จะมีหน้าที่หลักอยู่ 5 ด้าน คือ ความจำ สมาธิจดจ่อ ความสามารถ ด้านภาษา การมองเห็น และความสามารถในการตัดสินใจ

1.ด้านความจำ แบบฝึกสมองก่อนทำงานที่คุณควรปฏิบัติ ได้แก่ การฟังเพลงที่ไม่เน้นแค่สนุก แต่เลือกเพลงที่คุณไม่รู้จักแล้วหัดจำเนื้อ รวมถึง การอาบน้ำ แต่งตัวในที่มืด หรือใช้มือข้างที่ไม่ถนัดแปรงฟัน วิธีเหล่านี้ จะกระตุ้นระดับของ อะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) สารเคมีที่ช่วยในสมองที่มีผลต่อการควบคุมความจำ การเรียนรู้ และเคลื่อนไหวร่างกาย
2.ด้านสมาธิในการจดจ่อ ปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน ได้แก่ การวิ่งออกกำลังกายเบาๆ ไปพร้อมกับการฟังออดิโอบุ๊ค เปลี่ยน เส้นทางขับรถไปทำงาน หรือแม้แต่การจัดโต๊ะทำงานใหม่ ทั้งหมดนี้จะช่วยปลุกและฉุดคุณจากนิสัยเดิมๆ รวมทั้งกระตุ้นความสามารถในการทำงานที่หลากหลาย (Multitasking) ได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
3.ด้านภาษา หากคุณอ่านหน้ากีฬาบ่อยๆ ลองหันไปอ่านหน้าธุรกิจ เชิงลึกดูบ้าง คุณจะได้รู้จักคำใหม่ๆ และฝึกทำความเข้าใจเชื่อมโยงความหมาย จากบริบทด้วยตัวเอง (โดยไม่ต้องเสียเวลาเปิดพจนานุกรมสักนิดเดียว) นั่นเป็นเพราะสมองของเรามีความสามารถในการจำแนก จดจำ และเข้าใจคำได้เป็นอย่างดี ยิ่งถ้าฝึกบ่อยๆ คุณจะขยายคลังคำใหม่ๆ ไปยังคำที่ใกล้เคียง ได้อีก เกมภาษาก็เป็นอีกแบบฝึกหัดหนึ่งที่น่าสนใจ
4.ด้านการวิเคราะห์สิ่งที่เห็น เดินเข้าไปในห้องและเลือกของ 5 ชิ้น ที่วางอยู่ และเมื่อออกจากห้องลองพยายามจำถึงตำแหน่งของสิ่งของแต่ละชิ้นให้ได้ แต่ถ้ายังง่ายไปสำหรับคุณแล้วละก็ รอสัก 2 ชั่วโมงแล้วค่อยๆ ย้อนกลับไปนึกใหม่ หรือเปลี่ยนเป็นลองมองในมุมตรงเพื่อจดจำสถานที่ ที่ไม่คุ้นเคย แล้วท้าทายตัวเองด้วยการกลับมาเขียนรายละเอียดทุกอย่างลงในกระดาษของคุณ วิธีนี้จะช่วยบังคับให้ใช้สมองฝึกรวมความสนใจไปกับองค์ประกอบและสิ่งแวดล้อ มรอบๆ ตัว
5.ด้านการตัดสินใจ เพื่อการตัดสินใจที่รอบคอบเด็ดขาด เราต้องเริ่มจากแบบทดสอบที่ต้องใช้ตรรกะในการวางแผน กะวาง แล้วก้าวกระโดดให้ได้ในเวลาที่สั้นที่สุด ซึ่งที่จริงแล้วนี่คือสิ่งที่เราต้องปฏิบัติทุกวันเมื่อพบปะผู้คน โดยเฉพาะงานขายที่ต้องหว่านล้อมเพื่อการตอบรับที่ดี ในเวลาเดียวกันวิดีโอเกมก็เรียกร้องการวางแผนในลักษณะนี้ และน่าจะเป็นข้ออ้างที่ดีของคนที่กำลังติดเกมในสมาร์ทโฟน 

คลังบทความของบล็อก