วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไม่ขับถ่ายตอนเช้า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ไม่ขับถ่ายตอนเช้า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
หากร่างกายของเราไม่ขับถ่ายตอนเช้า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ความจริงแล้วการขับถ่ายถือว่าเป็นเรื่องปรกติของร่างกายคนเรา  เมื่อรับประทานอาหารเข้าไปแล้ว ก็ต้องมีการขับถ่ายออกมา เช่น ปัสสาวะ อุจาระ เหงื่อ เป็นต้น 

ในช่วงเวลา 05.00 - 07.00 น. เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่ ถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายอุจจาระแล้วปล่อยเวลาเลยมาถึง 07.00 - 09.00 น. ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหาร แล้วไม่ยอมกินอาหารเช้าอีก อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออกมา จะูถูกบีบตัวขึ้นมาจากลำไส้ใหญ่ ผ่านลำไส้เล็กมาที่กระเพาะอาหาร ก็จะูถูกดูดซึมซ้ำอีกครั้งในอุจจาระเก่ามีแก๊สที่เสียแล้ว เกิดจากการบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกายซึ่งมีความร้อน 37 องศาตลอดเวลา  ไม่เหมือนกับตู้เย็นที่เก็บได้นานกว่า เพราะฉะนั้นแก๊สพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาด ถ้าเลือดที่ไม่สะอาดไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย ไหลผ่านสมอง หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ผิวหนัง ก็จะได้รับพิษจากแก๊สพิษด้วย


- ก้อนเที่ยงถึงบ่าย ง่วงนอน เพราะเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงหัวใจ หัวใจก็อ่อนล้า ไม่สดชื่น
- มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ก็มาจากเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ปอดก็จะขับออกมาทางผิวหนังและลมหายใจตัวเองไม่ค่อยได้กลิ่น แต่้คนอื่นได้กลิ่น
- ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ขับถ่ายในช่วงเวลา 05.00 - 07.00 น. นาน ๆ เข้าเป็นระยะเวลาหลาย ๆ ปี เลือดที่ไม่สะอาดไหลผ่านไปเลี้ยงสมอง และไม่กินอาหารมื้อเช้าช่วงเวลา 07.00 - 09.00 น. สมองก็จะไม่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เมื่อแก่ตัวความจำจะเสื่อมเร็ว
- ปวดเข่า เมื่ออายุมากขึ้น เป็นริดสีดวงทวาร


วิธีแก้
พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00 - 07.00 น. ถ้าไม่ขับถ่าย ให้กินขมิ้นชันเป็นประจำ เพื่อบริหารลำไส้ใหญ่ หรือลองทำโยคะดู  เพราะปัจจุบันโยคะก็มีบทบาทในการออกกำลังกายที่ให้ผลดีมาก
ควรกินอาหารเช้าทุกวันระหว่างเวลา 07.00- 09.00 น. และพยายามรับประทานผลไม้ให้มาก ๆ เช่น มะละกอ ฝรั่ง แอปเปิ้ล ก็จะช่วยเราขับถ่ายได้ดีขึ้น


วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เบาหวาน วิธีการป้องกันเบาหวาน

เบาหวาน วิธีการป้องกันเบาหวาน
เบาหวาน วิธีการป้องกันเบาหวาน เมื่อได้ยินเบาหวานใครหลาย ๆ คนบอกว่าน่ากลัวมาก แต่อีกหลาย ๆ คนก็รู้สึกเฉย ๆ เพราะว่ายังไม่เป็น  และก็ไม่สนใจด้วยว่เบาหวานเกิดจากอะไร หากเป็นเบาหวานแล้วจะเป็นยังไง  ซึ่งคนที่ไม่เป็นก็จะพยายามที่จะไม่รับรู้ว่าสาเหตุของเบาหวานเิกิดจากอะไร


ผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่ มักตามใจปาก ไม่ชอบออกกำลังกาย หวังพึ่งแต่ยาหรือปาฎิหาริย์ให้หายป่วย จะได้ใช้ชวิตตามความเคยชินของตนเองอีก ส่วนใหญ่จึงจบลงด้วยการมีชีวิตสั้นกว่าที่ควรจะเป็น หรือพิการเพราะถูกตัดอวัยะวะบ้าง เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตบ้าง ทั้ง ๆ ที่ป้องกันได้ด้วยตนเองทั้งสิ้น ถ้าใครรู้ตัวว่า ยังรักชีวิตยังรักครอบครัว จงตั้งใจให้แน่วแน่ แล้วเริ่มปกป้องตัวเองและครอบครัวให้พ้นจากโทษภัยของเบาหวานอย่างจริงจังตั่งแต่วันนี้คือ อาหาร ก่อนจะรับประทานต้องพิจารณา 2 ประการคือ


1. อาหารที่ควรงดหรือจำกัดจำนวน คือ ของหวาน แต่ละมื้อให้รับประทานแต่น้อย หรือเปลี่ยนเป็นผลไม้แทน แต่ในผู้ป่วยเบาหวานที่ระดับน้ำตาลไม่สม่ำเสมอ ควรมีลูกอม น้ำหวาน หรือน้ำตาลก้อน พร้อมบัตรประจำตัวผู้ป่วยเบาหวานติดตัวไว้เผื่อฉุกเฉินจากอาการน้ำตาลต่ำ

ไขมัน ใช้ไขมันพืชปริมาณน้อย หลีกเลี่ยงไขมันสัตว์ หลีกเลี่ยงอาหารทอด ใช้อาหารนึ่ง ต้ม ปิ้ง ย่าง แทน

2. อาหารที่ควรรับประทาน คือ สารอาหารครบ 5 หมู่ พยายามจัดสัดส่วนในแต่ละมื้อให้ได้ ดังนี้
แป้ง พวกข้าวต่าง ๆ ที่ดีที่สุด คือ ข้า่วกล้อง ข้าวซ้อมมือ รับประทานประมาณครึ่งหนึ่งของอาหารทั้งหมด

เนื้อสัตว์  ที่ดีที่สุึด คือเนื้อปลาชนิดต่าง ๆ และถั่วทุกชนิด รับประทานประมาร 1/4 ของอาหารแต่ละมื้อ

เส้นไยอาหารและวิตามินเกลือแร่  คือ พืชผัก ผลไม้ รับประทานอีก 1/4 ของอาหารแต่ละมื้อ

พืชผักต่อไปนี้ควรรับประทานเป็นประจำ เพราะมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำตาลในเลือด ได้แก่ หอมใหญ่ ไม่ว่าสดหรือสุก บรอกโคลี่ ลูกซัด (เครื่องเทศ) ใบกะเพราะ มะระขี้นก โสม อบเชย กานพลู ขมิ้น ใบกระวาน


ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  อย่างเหมาะสมพอดีพอควรช่วยให้มีการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ไม่ให้มีเกิดไขมันส่วนเกินสะสม จนเป็นเหตุของโรคต่าง ๆ ช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมต่าง ๆ ทำให้กระฉับกระเฉง กระชุ่มกระชวย เบิกบาน แข็งแรง เกิดความผ่อนคลายป้องกันความเครียดเรื้อรัง ซึ่งเป็นเหตุนำไปสู่การเป็นเบาหวาน ความดัน ฯลฯ

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กระเจี๊ยบเขียว มีเพคตินสูงมาก ช่วยสมานแผล

กระเจี๊ยบเขียว มีเพคตินสูงมาก ช่วยสมานแผล

กระเจี๊ยบเขียว มีเพคตินสูงมาก ช่วยสมานแผลภายในของสตรีหลังการคลอดบุตรได้ดี มีแคลเซียมสูง บำรุงกระดูก ช่วยเสริมสร้างเซลล์ใหม่ที่ผิวผนัง ไม่ให้เป็นแผลเป็น หน้าท้องไม่ลาย ผิวพรรณผุดผ่อง ควรกินกระเจี๊ยบเขียวคู่กับขมิ้นชัน หรือน้ำกระชายจะพากันไปช่วยให้แคลเซียมไปสร้างกระดูกได้ดีมาก ถ้าเป็นผดผื่นคันใช้กระเจี๊ยบเขียวต้มน้ำ แล้วเอาเมือกเหนียว ๆ มาทาผิวหนังจะ่ช่วยให้หายได้ และตัวเมือกจะอุ้มพยาธิที่ผิวหนังให้หลุดไป 

กระเทียม สรรพคุณ ลดไขมัน ลดความดัน ฆ่าเชื้อโรคในปาก

กระเทียม สรรพคุณ ลดไขมัน ลดความดัน ฆ่าเชื้อโรคในปาก
กระเทียม สรรพคุณ ลดไขมันในเส้นเลือด ลดความดัน ฆ่าเชื้อโรคในปาก กระเทียมเป็นพืชสมุนไพรใกล้ตัวเรามากที่สุด เราคุ้นเคยกับกระเทียมมากที่สุด เมื่อเอ่ยถึงกระเทียมทุกคนต้องรู้จัก แม้กระทั้งอาหารเราก็ติดปากกับคำว่ากระเทียมกันแล้ว เช่น หมูทอดกระเทียม เป็นต้น กระเทียมจึงถือว่าเป็นพืชสมุนไพรที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก


กระเทียมเป็นพืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดินเรียกว่าหัว ซึ่งประกอบด้วยกลีบย่อยหลาย ๆ กลีบ ชนิดที่หัวมีกลีบเดียวเรียกว่ากระเทียมโทน ครัวไทยมีกระเที่ยมเป็นส่วนประกอบสำคัญประจำครัวมาช้านาน ในปัจจุบันมีการศึกษาคุณสมบัติทางยาอันหลากหลายของกระเทียม จนถึงกับสกัดบรรจุเป็นแคบซูล จำหน่ายเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพกันแล้ว

ส่วนที่ใช้ หัวและใบ ของกระเทียม
คุณค่าทางโภชนาการ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินซี วิตามินบี 1 และ บี 2 ไนอะซีน เบต้าแคโรทีน ซีลีเนียม เจอร์เรเนียม อัลลิซีน

สรรพคุณและวิธีใช้
ใบ ทำให้เสมหะแห้ง แก้ลมปวดมวนท้อง
หัว บำบัดอาการไอ แก้ไข้หวัด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง บำรุงปอด แก้ปอดพิการ ปอดบวม แก้วัณโรคปอด ช่วยย่อย ขับลม ขับเหงื่อ ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์ ช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือด ช่วยลดความดันโลหิต แก้ความดันโลหิตสูง ลดการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก เพิ่มการไหลเวียนโลหิต ช่วยเพิ่มความจำ รักษาเลือดออกตามไรฟัน ขับพยาธิในท้อง แก้สะอึก

รับประทานหัวกระเทียมสดเป็นประจำ วันละ 5 กลีบ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ รับประทานหัวกระเทียมสด หรือดองน้ำผึ้ง เป็นประจำวันละ 5 - 10 กลีบ ช่วยขจัดไขมันอุดตันในเส้นเลือด

แก้ปากเหม็น ฆ่าเชื้อโรคในปาก คั้นน้ำกระเทียมผสมน้ำอุ่น ใส่เกลือเล็กน้อย อมบ้วนปาก

รักษากลากเกลื้อน คั้นเอาน้ำกระเทียมสด ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น จนกว่าจะหาย 

แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ รับประทานกระเทียมสด 5 - 7 กลีบ

กระเทียมโทนดองน้ำผึ้ง  บำรุงกำลัง

กระเทียมดองสุรา  ลดความดันโลหิต

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ลูกเดือย สรรพคุณแก้โรคเกาต์

ลูกเดือย สรรพคุณแก้โรคเกาต์
ลูกเดือย สรรพคุณแก้โรคเกาต์ ได้จริงหรือไม่ซึ่งปัจจุบันมีผู้คนมากมายเป็นโรคเกาท์็  ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยทรมานมาก ปวดตามร่างกายบริเวณที่เป็น เช่น ตามข้อ ตามเท้า เป็นต้น แต่มีบทความบอกไว้ว่าลูกเดือยสามารถแก้โรคเกาต์ได้ 

โดยใช้ลูกเดือยมาประกอบอาหารในแต่ละมื้อให้ได้ประมาณ 80 เปอร์เซนต์ ของอาหารแต่ละมื้อ กินเนื้อลูกเดือยให้หมด จะเอาน้ำที่ต้มลูกเดือยไปทำน้ำต้มยำหรือแกงก็ได้ ขอให้เน้นกินเนื้อลูกเดือยเป็นหลัก กินแทนเนื้อสัตว์ไปเลย ควรงดกินเครื่องในสัตว์ กินลูกเดือยวันละ 3 มือ ให้ครบ 7 วัน จะช่วยลดหินปูนตามข้อกระดูกต่าง ๆ ของร่างกาย ช่วยแก้โรคเก้าท์ได้ ลูกเดือยจึงเป็นอาหารที่มีประโยชน์มาก ลูกเดือยเป็นอาหารที่ราคาไม่แพงแต่ให้คุณประโยชน์สูง ลูกเดือยเป็นอาหารพื้นบ้านที่หารับประทานได้ง่ายมาก  ตอนเช้า ๆ ใครที่ดื่มน้ำเต้าหู้ก็ให้เขาลูกเดือยมาก ๆ หน่อยก็แล้วกัน เพราะ่ว่าลูกเดือยมีสรรพคุณที่ดีต่อร่างกายมาก ลูกเดือยจึงเป็นอาหารที่ดีสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเกาท์ฺจริง ๆ ลูกเดือยหากกินแทนเนื้อสัตว์ก็ได้ประโยชน์ 2 ต่อ คือไม่เบียดเบียนสัตว์ และดีต่อสุขภาพอีกด้วย

ลูกสำรอง หรือพุงทะลาย เวลาที่เหมาะแก่การกินลูกสำรอง

ลูกสำรอง หรือพุงทะลาย เวลาที่เหมาะแก่การกินลูกสำรอง
ลูกสำรอง หรือพุงทะลาย หากกินเวลาที่เหมาะสมก็จะทำให้ดียิ่งขึ้นต่ออวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเป็นอย่างมาก เราไปดูเวลาที่เหมาะสมกันว่าเวลาไหนควรกินเพื่อบำรุ่งร่างกายส่วนไหน

13.00 น.     - ช่วยบำรุงปอดให้แข็งแรง
15.00 น.     - ช่วยบำรุงลำไส้ใหญ่ให้แข็งแรง
17.00 น.     - ช่วยรักษาและเคลือบกระเพาะอาหาร
19.00 น.     - ช่วยให้ม้ามดูดซึมความชื้น ดูดซับไขมันในลำไส้และกระเพาะอาหารกินเวลานี้ช่วยลดหน้าท้อง
บ่ายถึงเย็น  - ช่วยบำรุงไตให้แข็งแรง และได้เพคตินไปสมานแผล
19.00 น.     - กินคู่กับน้ำดอกคำฝอย ช่วยลดไขมันในเลือด
ก่อนนอน    - ช่วยให้ขับถ่ายได้ดีในตอนเช้า

มีน้ำสำรองที่ทำสำเร็จรูป สะดวกแก่การหาซื้อมากิน มีจำหน่ายอยู่ทั่วไป
วิธีทำ  นำลูกสำรองมาแช่น้ำอุ่นตั้งทิ้งไว้ รอจนลูกสำรองพองตัวจนเต็มที่ ต่อจากนั้นคัดเมล็ด,เปลือก,กากออกทิ้งไปให้เหลือแต่เนื้อของลูกสำรอง แล้วนำเนื้อลูกสำรองไปใส่หม้อเติมน้ำให้ท่วมขึ้นมาสัก 2 ข้อนิ้วมือ ต้มให้เดือด ใส่น้ำตาลทรายให้หวานเล็กน้อย ยกลงจากเตา ทิ้วไว้ให้เย็นแล้วบรรจุขวดแช่ในตู้เย็น เก็บไว้ทานได้ ประมาณ 3 วัน

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ลูกสำรอง หรือพุงทะลาย สรรพคุณดูดซับไขมัน

ลูกสำรอง หรือพุงทะลาย สรรพคุณดูดซับไขมัน
ลูกสำรอง หรือพุงทะลาย มีสรรพคุณที่ดีมาก ช่วยดูดซับไขมัน อีกทั้งเป็นอาหารที่ดับร้อนใน ได้เร็วกว่าสมุนไพรตัวอื่น ๆ อาหารแก้ร้อนใน หมายถึง อาหารอะไรที่รับประทานเข้าไปแล้ว ดูดซับไขมันได้ เพราะไขมันเป็ตัวทำให้ร่างกายร้อน อบอุ่น จึงจัดว่าเป็นอาหารแก้ร้อนใน


ลูกสำรองเป็นตัวดูดซับไขมันหน้าท้อง จึงเรียกอีกชื่อว่าพุงทะลาย คือพุงคนเราที่มีไขมันเกาะรอบ ๆ สะืดือแล้วมีไขมันรุ่นใหม่อุ้มไขมัน เพื่อให้ขับถ่ายออกมา ถ้ากินตอนเช้าจะช่วยลดหน้าท้องได้

ลูกสำรองจึงมีสรรพคุณที่ดีมาก หากเราใช้เป็นอาหารได้อย่างเหมาะสม ทำให้สะอาด ปราศจากเชื้อโรคก็จะเป็นการดีที่สุด

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สูตรแก้ริดสีดวงทวาร การป้องกันริดสีดวงทวาร

สูตรแก้ริดสีดวงทวาร การป้องกันริดสีดวงทวาร
ริดสีดวงทวาร ชื่อนี้ใครได้ยินก็จะรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ เพราะหากถ้าได้เป็นแล้วก็จะมีความลำบากยุ่งยากมากพอสมควรสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันปกติ เราควรที่จะหาทางป้องกันไว้ก่อน หรือว่าถ้าได้เป็นแล้วก็ต้องหาทางรักษา โดยมีสูตรดังนี้

1.ใช้มะระจีนลูกเล็ก ๆ หรือใหญ่ ๆ ก็ได้ 1 ลูก นำมาคว้านไส้ออกแล้วปั่นน้ำหรือตำคั้นเอาแต่น้ำ เติมน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา ดื่มตอน 05.00 น. ถึง 07.00 น. จะหายเร็ว ให้กินประมาณ 5 ถึง 7 วัน

2. ใช้กล้วยหอมสุข (ไม่ต้องปอกเปลือก) หั่นเป็นแผ่น ๆ ใส่หม้อเติมน้ำพอท่วมกล้วย ตั้งไฟเคี่ยวให้เดือดก็ใส่น้ำตาลกรวดลงไป ใช้กินแต่น้ำ หรือจะกินเนื้อด้วยก็ได้

3. กินกล้วยหอมสุข (ปอกเปลือก) ตอนเย็น 2 ลูก ก่อนอาหาร ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร


การป้องกันริดสีดวงทวารระยะยาว ควรกินขมิ้นชันวันละ 6 แคปซูล ระหว่างเวลา 05.00 น. ขมิ้นชันจะช่วยให้ไม่เป็นริดสีดวงทวารไม่เป็นมะเร็งลำไส้  เพราะจะช่วยให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัว และขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00 น. ถึง 07.00 น เป็นประจำ

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เห็ด 3 อย่าง ล้างสารพิษในร่างกาย เห็ดหูหนูดำ เห็ดหูหนูขาว เห็นโคน

เห็ด 3 อย่าง ล้างสารพิษในร่างกาย เห็ดหูหนูดำ เห็ดหูหนูขาว เห็นโคน

เห็ดสามอย่าง ล้างสารพิษในร่างกาย เห็ด 3 อย่าง คือเห็ดอะไรบ้าง คือเห็ดตั้งแต่ 3 ชนิดขึ้นไป จะเป็นเห็นสด หรือเห็ดแห้งก็ได้ นำมาปรุงอาหารแล้วกินได้ทั้งเนื้อเห็ดและน้ำต้มเห็ด


ประโยชน์ เห็ดสามอย่าง ประโยชน์เห็ด 3 อย่าง
เมื่อนำมาปรุงอาหารรวมกัน 3 อย่างขึ้นไปก็จะช่วย
1. ล้างสารพิษที่ตกค้างในตับ และช่วยบำรุงตับให้ดีขึ้น ให้แข็งแรงขึ้น
2. ลดอนุมูลอิสระที่จะเกิดเป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีความสำคัญมากในปัจจุบันนี้


เห็ดชนิดเดียว  ก็มีประโยชน์เหมือนกันแต่ยังไม่มากเท่าเห็ดสามอย่างรวมกัน 3 อย่างรวมกัน เห็ดที่นำมารวมกันได้นั้นก็คือเห็ดที่เรากินได้ เช่น เห็ดหูหนูดำ เห็ดหูหนูขาว เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า เห็ดเข็มทอง เห็ดฟาง นำมาล้างน้ำให้สะอาดก่อนที่จะทำการปรุงอาหาร 


เห็ดสามอย่าง ให้โปรตีน
เมื่อเรานำเห็ด 3 อย่าง นำมารวมกันประกอบอาหารแล้ว จะได้โปรตีนจากเห็ดที่ร่างกายดูดซึมไปใช้งานได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่ารับประทานเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ โปรตีนจากเห็ดจะไปสร้างกรดอะมิโน  ที่บำรุงสมอง ปรับสมดุลของการสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย ต้านการเกิดมะเร็ง ขจัดสารพิษ แต่คนที่เป็นมะเร็งแล้วกินได้ แต่อย่าคิดหวังอะไร ควรไปให้แพทย์รักษาจะดีที่สุึด เพราะเห็ดจะช่วยต้านการเกิดมะเร็ง ไม่ใช่รักษามะเร็ง  อาหารตัวอื่นที่ต้านอนุมูลอิสระได้ดีก็มีมากมาย เช่น กระเจี๊ยบเขียว ลูกหม่อน ผัก และผลไม้ ที่เราควรรับประทานอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการป้องกัน  ไม่ใช่ว่าเราเป็นแล้วมาหารับประทานก็คงจะลำบากเหมือนกัน


น้ำต้มเห็ด 3 อย่าง  ใ้ช้ทำเป็นน้ำซุปปรุงอาหารก็ได้ แต่ไม่ควรนำเห็ดสามอย่างไปผัดน้ำมัน ถ้าจะผัดควรใช้กะทิแทนจะดีกว่า เพราะกะทิเป็นไขมันที่ละลายในน้ำได้ และกะทิมีโคเลสเตอรอลที่เป็นฝ่ายดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย  หากเราได้รับประทานเห็ดสามอย่างเป็นประจำก็จะดีต่อสุขภาพร่างกายของเราเป็นอย่างมาก  เพราะฉะนั้นสุขภาพของเรา เราก็ต้องดูแล อย่าปล่อยให้โรคภัยเบียดเบียนแล้วก็มาหาของรับประทานก็จะเป็นการยากที่จะทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงได้เหมือนเดิม

ชามะละกอ (มะละกอดิบต้มน้ำชงชา) ล้างไขมันในลำไส้

ชามะละกอ (มะละกอดิบต้มน้ำชงชา) ล้างไขมันในลำไส้
ชามะละกอ คือการนำเอามะละกอดิบมาปอกเปลือก แล้วหั่นเนื้อมะละกอใส่หม้อ เติมน้ำ ต้มให้เดือด แล้วตักเนื้อมะละกอไป เอาเฉพาะน้ำมาใช้ชงชาเพื่อดื่มแทนชาทั่วไป


ประโยชน์ เมื่อดื่มชามะละกอ จะเป็นการล้างลำไส้โดยไม่ต้องสวนทวาร ช่วยล้างระบบดูดซึม คือล้างคราบไขมันที่ผนังสำไส้ อันเนื่องมาจากการกินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำ คราบไขมันจะเกาะตัวที่ผนังลำไส้เป็นกาวเหนียว จึงเกิดอาการขัดขวางการดูดซึมสารอาหาร และวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

เมื่อระบบดูดซึมไม่ดี หรือดููดซึมไม่ได้ เวลากินอาหารก็จะได้แค่อิ่ม แต่ไม่ได้สารอาหาร เป็นเป็นอย่างนี้ นานวันเข้า ความเจ็บป่วยก็จะเข้ามาเยือน

เมื่อร่างกายปกติ ไม่เจ็บไม่ป่วย ก็ควรล้างลำไส้ไว้บ้าง เพื่อล้างคราบน้ำมันเก่าที่ค้างอยู่ที่เคยกินอาหารผัดน้ำมันมานานหลายปี


สูตรชามะละกอ
- มะละกอดิบไม่อ่อนเกินไปครึ่งลูก
- ชาเขียว หรือชาจีน หรือชาใบหม่อน อย่างใดอย่างหนึ่ง

วิธีทำ   ปอกเปลือกมะละกอล้างให้สะอาด แล้วหั่้นแบบชิ้นฟัก ไม่ถึงครึ่งลูก (ประมาณ 3 กำมือ) ใส่ลงไปหม้อเติมน้ำ 3 ลิตร ตั้งไฟ จะเติมดอกเก๊กฮวย ใบเตย หรือรากเตย ก็ใส่ลงไปพร้อมกับมะละกอดิบ พอน้ำเริ่มเดือดได้สัก 3 นาที ก็ยกลงได้ อย่าต้มมะละกอจนเนื้อเละต่อไปก็ตักน้ำมะละกอและดอกเก๊กฮวยออกให้เหลือแต่น้ำ  เอาน้ำร้อนที่เหลือทั้งหมดนั้นไปชงชา  ใส่ใบชาประมาณครึ่งกำมือ มากหรือน้อยตามความต้องการ (ห้ามแช่ใบชานานเกิน 5 นาที เพราะถ้าเกิน 5 นาที สารแทนนินของใบชาจะออกมาจากใบชา กินแล้วทำให้ท้องผูก นอนไม่หลับ)  แล้วกรองใบชาทิ้งไปทั้งหมด  ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นก็ดื่มได้เลย หรือจะบรรจุขวดเก็บไว้ในตู้เย็นก็ได้ เก็บได้ประมาณ 3 วัน

สารของมะละกอจะเกิดการถักทอกับสารของใบชาทำให้ช่วยย่อยไขมันและล้างไขมันออกจากผนังลำไส้ควรดื่มเพื่อล้างเป็นประจำ ดื่มแทนน้ำอัดลมได้ (เด็ก ผู้ใหญ่ดื่มได้ ไม่ต้องสงสัยรอโทรถามใคร)

ถ้าไม่ล้างลำไส้ ก็เปรียบเหมือนกินข้าวไม่ล้างจานแล้วใช้จานใบเก่าที่ไม่ล้าง เอามาใส่ข้าวกินใหม่
เมื่อล้างลำไส้แล้ว ก็ควรกินอาหารที่มีประโยชน์เพื่อไปบำรุงร่างกายด้วย  ถ้าหลีกเลี่ยงอาหารผัดน้ำมันไม่ค่อยได้ ก็กินเท่าที่จำเป็น คือ กินให้น้อยลง แล้วกินชามะละกอไปล้างลำไส้ทุกวันเมื่อมีเวลาว่าง

การทำชามะละกอกินเพื่อล้างลำไส้ให้ได้ประโยชน์ที่จริงแล้วไม่ควรเติมน้ำตาล ยกตัวอย่างเช่น เรากินข้าวขาหมู แล้วกินของหวานหรือชาที่เติมน้ำตาล มันจะทำให้ไขมันกลายเป็นไขมันฝ่ายร้ายได้ หรือมือไหนที่เรากินไขมัน เช่น เนื้อติดมัน ก็ไม่ควรกินของหวานตามเข้าไป ควรกินกระเทียมเป็นตัวลดโคเลสเตอรอล  แล้วกลับมาบ้านเราก็กินชามะละกอ เพื่อล้างไขมันในลำไส้ออกไป

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กะหล่ำปลี สรรพคุณ ช่วยลดความอ้วน

กะหล่ำปลี สรรพคุณ ช่วยลดความอ้วน
กะหล่ำปลี เป็นพืชผักที่เรารับประทันกันอยู่เป็นประจำ  แต่จะรู้บ้างหรือไม่ว่ากะหล่ำปลีนั้นมีคุณประโยชน์ สรรพคุณอย่างไรบ้าง นอกจากจะทำเป็นกับข้าวให้เรารับประทานได้อิ่มท้องกัน แต่ในทางวิชาการยังให้ข้อมูลว่ากะหล่ำปีมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรอีกด้วย ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถลดน้ำหนักได้  เรามาดูกันว่ากะหล่ำปีนั้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง



- ช่วยลดความอ้วน ล่าสุดมีงานวิจัยออกมาว่ากะหล่ำปลีมีกรดทาร์ทาริก ช่วยยับยั้งขัดขวางไม่ให้น้ำตาลและแป้งไปเป็นไขมันสะสมในร่างกายจึงช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ 
- เสริมสร้างภุมิคุ้มกัน ในกะหล่ำปลีมีวิตามินซีสูงทำให้หวัดหายเร็ว ฟันและเหงือกแข็งแรง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ซึ่งการนึ่ง อบ หรือผัด จะช่วยคงคุณค่าสารอาหารในกะหล่ำไว้ได้ดีที่สุด

- บำรุงกระดูกและฟัน กะหล่ำปลีอุดมไปด้วยแคลเซียม และฟอสฟอรัส ซึ่งดีต่อรางกายในการเสริมสร้างกระดูกในเด็กและคนชรา

- ลดความเสี่ยงจากมะเร็งลำไส้ การรับประทานกะหล่ำปลีในแบบสุกหรือแบบดิบก็ได้ประมาณ 2 ครั้งต่อสัปดาห์จะช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็งลำไส้ในผู้ชายลงถึงร้อยละ 66 และหากทานกะหล่ำปลีปรุงสุกวันละ 2 ช้อนโต๊ะ ก็จะช่วยป้องกันมะเร็งช่องท้องได้เช่นกัน

- ช่วยย่อยอาหารและล้างพิษ เนื่องจากในกะหล่ำปลีมีใยอาหารอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะจึงช่วยย่อยอาหาร ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด กระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- ทำให้นอนหลับสบาย สารซัลเฟอร์ในกะหล่ำปลีมีสรรพคุณช่วยระงับประสาททำให้รู้สึกผ่อนคลายความตึงเครียดจึงทำให้นอนหลับดีขึ้น วิธีรับประทานคือ การนำกะหล่ำปลีไปคั้นสด ๆ แล้วดื่ม หรือหากจะเพิ่มรสชาติให้ดีขึ้นอาจจะเติมเกลือสักเล็กน้อยก็จะทำให้ น้ำกะหล่ำปลีน่ารับประทานยิ่งขึ้น

- รักษาแผลในกระเพาะอาหาร กะหล่ำปลีมีสารต้านการอักเสบของแผลในกระเพาะและลำไส้ตามธรรมชาติ ช่วยกระตุ้นเซลล์เยื่อบุกระเพาะและลำไส้ให้สร้างน้ำคัดหลั่งเคลือบผิวทางเดินอาหารจึงป้องกันไม่ให้เกิดแผลจากกรดในกระเพาะอาหารได้หากเรารับประทานกะหล่ำปลีเป็นประจำก็จะช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี

- บรรเทาอาการปวดตึงคัดเต้านม การนำกะหล่ำปลีมาประคบเต้านมโดยลอกกะหล่ำปลีออกเป็นใบแล้วนำมาประคบที่เต้านมข้างละใบ ใช้ผ้าพันทิ้งไว้ 20 นาที โดยไม่ต้องนวดคลึงอาการปวดบวมคัดตึงจะหายไปซึ่งเป็นประโยชน์ฺมาก

- กะหล่ำปลีนั้นมาทั้งสรรพคุณและคุณประโยชน์ต่าง ๆ มากมาย หากเราต้องทำให้สะอาด ก่อนทำอาหารต้องล้างให้สะอาด เพื่อที่จะล้างสารเคมีต่าง ๆ ให้หมดก่อนที่จะทำมาปรุงอาหาร

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทุเรียน ผลไม้ราคาแพงที่สุดในโลก อร่อยที่สุดในโลก

ทุเรียน ผลไม้ราคาแพงที่สุดในโลก
ทุเรียน ใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก ใคร ๆ ก็ต้องนึกถึงความอร่อยกินจนเพลินไปเลย  ทุเรียนเป็นผลไม้ที่ราคาแพงที่สุดในโลก และแพงที่สุดในโลก  ก็คือทุเรียนนนท์นั่นเอง ราคาก็แค่ลูกละ 3,000 - 4,000 เท่านั้นเอง  ใคร ๆ ก็คงบอกว่ามีจริงด้วยหรือ   มีจริงครับทุเรียนเมืองนนท์สำหรับปีนี้ก็ลูกละ 6,000-7000 บาท  ถ้าเหมาก็ 3 ลูก 40,000 บาท  ราคานี้ใช่ว่ามีเงินจะต้องได้กินเลยน่ะ  ต้องจองก่อนถึงจะได้กิน    
 “ทุเรียน” ถือเป็นผลไม้ที่มีทั้งคนรักและคนชัง จัดอยู่ในผลไม้ประเภท “ไม่รักก็เกลียดเลย” ด้วยกลิ่นที่ตลบอบอวลจนต้องถูกห้ามนำทุเรียนเข้าโรงแรม ห้ามถือขึ้นเครื่องบิน หรือแม้แต่ห้ามขึ้นรถประจำทางปรับอากาศ แต่สำหรับคนรักทุเรียนแล้ว กลับเป็นกลิ่นหอมหวนชวนกิน ยิ่งถ้าเจอแบบที่อร่อยถูกใจแล้วยิ่งกินเพลินจนหยุดไม่ได้ แต่แม้จะเป็นผลไม้ที่มีคนทั้งรักทั้งเกลียดเช่นนี้ ทุเรียนก็ยังถือเป็น “ราชาผลไม้” เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย ในช่วงฤดูฝนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฏาคม ถือเป็นหน้าทุเรียน มีทุเรียนหลากหลายพันธุ์ให้เลือกกิน ในเมืองไทยมีทุเรียนที่อร่อยขึ้นชื่ออยู่หลายพันธุ์ด้วยกัน แต่พันธุ์ไหนจะอร่อยเด็ดที่สุดนั้น ต้องลองไปดูกัน

 “หมอนทอง-ชะนี-ก้านยาว” อร่อยยอดนิยม
       
       แม้ทุเรียนจะไม่ใช่ผลไม้ที่มีต้นกำเนิดจากเมืองไทย แต่ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการผลิตและส่งออกทุเรียนรายใหญ่ของโลก จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรพบว่า ในปี 2554 ประเทศไทยส่งออกทุเรียนสดปริมาณมากถึง 271,948 ตัน รวมมูลค่า 4,662 ล้านบาท โดยตลาดใหญ่ที่สุดไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นประเทศจีนนั่นเอง

 สำหรับทุเรียนที่ปลูกกันในประเทศไทย ทั้งทุเรียนพื้นบ้านและทุเรียนพันธุ์นั้นมีมากนับร้อยพันธุ์ แต่สำหรับทุเรียนที่เรารู้จักกันดีและได้กินกันบ่อยๆ ก็คือพันธุ์ที่คุ้นหู เช่น หมอนทอง ก้านยาว และชะนี เป็นต้น

  สำหรับ “หมอนทอง” นั้น ถือเป็นทุเรียนยอดนิยมก็ว่าได้ เนื่องจากกินแล้วไม่ค่อยผิดหวัง ด้วยขนาดลูกที่ใหญ่ เนื้อหนาละเอียด สีเหลืองอ่อน เมล็ดลีบ ไม่เละไม่แฉะติดมือ กลิ่นไม่แรงนัก รสชาติหวานมัน นอกจากหมอนทองจะเป็นทุเรียนพันธุ์ที่ปลูกกันมากที่สุดในเมืองไทยแล้ว ยังเป็นพันธุ์ที่ส่งออกมากที่สุดด้วยเช่นกัน

 ส่วน “ชะนี” เป็นอีกหนึ่งพันธุ์ที่คนนิยมกิน ผลมีขนาดปานกลางถึงใหญ่ ร่องพูค่อนข้างลึก เนื้อละเอียด มีสีเหลืองจัด รสชาติหวานมัน เมล็ดค่อนข้างเล็ก บ้างก็ว่ารสชาติอร่อยกว่าหมอนทอง และ “ก้านยาว” ผลมีขนาดปานกลาง ทรงกลม แต่มีจุดเด่นตรงที่มีก้านผลใหญ่และยาวกว่าพันธุ์อื่นๆ มีเนื้อละเอียดสีเหลือง เนื้อหนาปานกลาง เมล็ดค่อนข้างใหญ่ ให้รสชาติหวานมันเช่นกัน
       
       ทุเรียนทั้งสามชนิดนี้มีวางขายให้เห็นในตลาด มีให้เลือกกินได้ในราคา 50-80 บาท/กิโลกรัม หรือหากไปซื้อถึงแหล่งปลูกก็จะอยู่ในราว 30-50 บาท/กิโลกรัม
       
       “พวงมณี” อร่อยมาแรง
       
       “ทุเรียนพวงมณี” เป็นอีกหนึ่งทุเรียนอร่อยมาแรงของภาคตะวันออก โดยเป็นทุเรียนพันธุ์พื้นเมืองของภาคตะวันออก แม้จะไม่ได้รับความนิยมเท่าทุเรียนพันธุ์อื่นๆ แต่ในช่วงหลังๆ เริ่มมีคนให้ความสนใจทุเรียนพันธุ์พวงมณีกันมากขึ้น เพราะรสชาติที่อร่อยไม่แพ้ใคร

จรวย พงษ์ชีพ ผู้มีฉายาว่า “ดำ น้ำหยด” เกษตรกรตัวอย่าง เจ้าของสวนทุเรียนและผลไม้อีกหลากหลายใน อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี กล่าวถึงทุเรียนพวงมณีว่า “ทุเรียนพวงมณีเป็นพันธุ์ที่มีมาแต่ดั้งเดิม มีปลูกมากที่จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดอื่นๆ ในภาคตะวันออก ทุเรียนพวงมณีมีข้อดีตรงที่รสชาติอร่อยกว่าพันธ์อื่นๆ มีรสหวานจัด เนื้อละเอียดสีเหลืองสดเข้ม แถมยังทนโรคกว่าพันธ์อื่นๆ แต่ข้อเสียคือเนื้อน้อย ผลเล็ก ให้ผลผลิตต่ำ”
       
       ด้วยรสชาติที่อร่อยไม่แพ้ใคร ปัจจุบันทุเรียนพวงมณีจึงเริ่มเป็นที่รู้จัก จึงมีความต้องการของตลาดมากขึ้น ส่งผลให้เริ่มมีการปลูกทุเรียนพวงมณีเพิ่มเติมตามสวนต่างๆ และมีการพัฒนาพันธุ์โดยการผสมกับทุเรียนพันธุ์อื่นเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
       
       และสำหรับคนที่อยากลองชิมทุเรียนพวงมณี ในกรุงเทพอาจจะหาซื้อยากสักหน่อย แต่หากได้เดินทางไปภาคตะวันออก เช่น จังหวัดจันทบุรี หรือตราด ให้ลองถามหาทุเรียนพันธุ์นี้มาลองชิมดู โดยคุณจรวยบอกว่าปีนี้ราคาขายของพวงมณีหน้าสวนตกอยู่ที่ 40-50 บาท/กิโลกรัม ไม่แน่ว่าอาจจะติดใจกลายเป็นแฟนทุเรียนพวงมณีไปเลยก็ได้

 “ทุเรียนที่อร่อยที่สุดต้องเมืองนนท์ ที่ไหนก็สู้ไม่ได้ ที่ปราจีนบุรีก็เอาพันธุ์จากเมืองนนท์ไป แต่ก็สู้ไม่ได้เพราะมันเป็นป่าละเมาะ ไม่ใช่สวน เป็นทุเรียนไร่ เมื่อเรียงลำดับทุเรียนที่อร่อยที่สุดจึงเป็นทุเรียนนนท์ ปราจีนบุรี จันทบุรี และระยอง” สันติ กล่าว
       
       ปัจจุบันทุเรียนนนท์หากินได้ยากยิ่ง เพราะเมื่อเมืองขยายตัว สวนทุเรียนถูกเปลี่ยนเป็นบ้านจัดสรร ประกอบกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่หลายครั้ง โดยเฉพาะปี 2538 สวนทุเรียนต้องแช่อยู่ในน้ำนานหลายเดือนและทยอยตายไปจนเกือบหมดสวน ปัจจุบันทุเรียนนนท์จึงเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่ง
       
       และน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่ผ่านมาก็ยิ่งทำให้สวนทุเรียนนนท์ที่มีน้อยอยู่แล้วเหลือน้อยลงไปอีก เพราะเกิดความเสียหายมากกว่า 98% แต่ยังโชคดีที่ทางกรมวิชาการเกษตรร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตรยังมองเห็นความสำคัญของทุเรียนนนท์ จึงได้จัดโครงการกู้วิกฤตสวนไม้ผลพันธุ์ดีเฉพาะท้องถิ่นที่ประสบอุทกภัย โดยได้นำพันธุ์ทุเรียนจากจังหวัดนนทบุรีที่เก็บรักษาและขยายพันธุ์ภายในศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี มาส่งมอบกลับคืนสู่เกษตรกรเจ้าของพันธุ์ เพื่อเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ทุเรียนนนท์ไม่ให้หายไป
       
       และจากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปีที่แล้ว ย่อมส่งผลต่อจำนวนผลผลิตและราคาของทุเรียนนนท์ด้วยเช่นกัน จากการสอบถาม ไสว ทัศนียะเวช เจ้าของสวนทุเรียนนนท์ ทำให้ทราบว่า ในปีนี้สวนทุเรียนกว่า 10 ไร่ เหลือรอดจากน้ำท่วมให้ผลผลิตมาเพียง 100 กว่าลูกเท่านั้น และแน่นอนว่า เมื่อผลผลิตน้อยราคายิ่งต้องขยับสูงขึ้น จากเมื่อปีก่อนที่ขายราคาลูกละ 3,000-4,000 บาท หรือ 3 ลูก 10,000 บาท ซึ่งเป็นราคามาตรฐาน ในปีนี้ขยับขึ้นเป็นลูกละ 6,000-7,000 บาท ยิ่งถ้าเป็นลูกใหญ่ๆ สวยๆ ขายในราคาเหมา 3 ลูก 40,000 บาท แต่ใครอยากกินต้องรอปีหน้าเพราะแม้จะราคาเหยียบครึ่งแสนแต่ก็ขายหมดเกลี้ยงเรียบร้อยแล้ว

แทบไม่เชื่อ EST COLA ยอดขายแซงหน้า PEPSI

แทบไม่เชื่อ EST COLA ยอดขายแซงหน้า PEPSI
EST COLA ได้วางขายแทน PEPSI เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ทำเอาผู้บริโภคน้ำดำต่าง งง กันยกใหญ่ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงเป็นชื่อ EST COLA ทำไม.....มากมายหลายคำถาม แต่แล้วก็ต้องยอมรับว่าไม่ผิดหวังเลยสำหรับ EST COLA รสชาด ถึงแม้จะต่างจาก PEPSI แต่ก็ยังสามารถสร้างเบรนด์ใหม่ได้สำเร็จ โดยมียอดขายเป็นที่การันตี


หลังจากที่ผ่านกระแสการเปิดตัวของ est colaจากเสริมสุขมาได้สักพัก ตอนนี้ หลายๆคน คงได้ดื่ม ได้ชิม est cola กันไปเยอะแล้วเหมือนกัน ถ้าอยู่ในเมืองหน่อย ก็จะเห็นบูทมาตั้งแจกฟรีกันทั้งวันเลยทีเดียว
นายฐิติวุฒิ์ บุลสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการเปิดตลาด "เอส โคล่า"เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนว่า "เอส โคล่า" ทำสถิติยอดขาย 1 ล้านลังภายใน 5 วัน เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของเสริมสุข 


ด้วยความที่สามารถหาซื้อได้ง่ายกว่าเดิม เพราะไปตามร้านข้าว แถวข้างออฟฟิศ ก็เห็นแต่ est cola ไปทั่วทุกร้าน ด้านเป๊ปซี่เอง ช่วงนี้สินค้าก็หดหายไปจากตลาดบ้างแล้วเหมือนกัน ใครจะไปรู้ ปีหน้าอาจจะกลายเป็นเบอร์ 2 ก็ได้

และสิ่งที่เราได้เห็นในตอนนี้ก็คือ เป๊ปซี่ค่อยๆหายหน้าหายตาไป แถมเอส โคล่า ยังมีสินค้าเต็มตู้ไปเสียทุกร้าน เรียกได้ว่าแทนที่เป๊ปซี่เกือบหมด ส่วนโค้กเอง ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ควักเงินจากกระเป๋ามาตั้งบูทแจกจ่ายทั่วประเทศอยู่ไม่น้อย 

EST COLA นำดาราซุปเปอร์สตาร์มาให้แฟน ๆ ที่ชื่นชอบกระตุ้นการตลาดอย่างเต็มที่

บี้เองก็มาน่ะครับ

เก็บตกก็มาด้วยน่ะคะ

ศึกชิงบัลลังก์น้ำดำ ที่คนไทยชอบมากที่สุด เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น อนาคตของ est cola, pepsi และ coke จะเป็นอย่างไร เราก็คงต้องติดตามกันต่อไป

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แตงโม ลูกโตโต ลดความดันโลหิตได้

แตงโม ลูกโตโต ลดความดันโลหิตได้
แตงโม เป็นผลไม้ที่คนไทยรู้จักกันดี เป็นผลไม้ที่รับประทานง่าย เป็นผลไม้ยอดนิยมที่มีรสหวานอร่อย แตงโมเป็นผลไม้ที่สาว ๆ นิยมรับประทานกันมากเพราะต้องการลดน้ำหนัก แตงโมเป็นผลไม้ที่แก้กระหาย และคลายความเครียด ได้เป็นอย่างดี
แตงโมมีสาร Iycopene ทำหน้าที่แอนตี้ออกซิเดนซ์ ช่วยบำรุงหัวใจ ทำให้หัวใจแข็งแรง ป้องกันโรคหัวใจล้มเหลวได้เป็นอย่างดี  แตงโม อุดมไปด้วยวิตามินซีมากมาย ซึ่งวิตามินซีมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก

น้ำแตงโม ช่วยป้องกันการติดเชื้อ เนื่องจากน้ำแตงโมอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะทำให้ร่างกายสร้างวิตามินเอ และตัววิตามินเอนี้เองช่วยป้องกันการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี แตงโมช่วยทำให้แผลหายเร็ว เพราะในแตงโมมีสาร Citruline มากมาย  สารนี้เองที่ทำให้ใครที่เป็นแผลแล้วแผลก็จะหายเร็วมาก โดยเฉพาะเนื้อสีขาว ๆ ที่ติดอยู่กับเปลือก

นอกจากนี้แตงโมยังช่วยให้คนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง มีระบบโลหิตที่คงที่ไม่สูงอีก หรือลดน้อยลงไป  หากรับประทานแตงโมเป็นประจำ  นอกจากนั้นก็ยังช่วยลดความเครียดได้ดีอีกด้วย

แตงโมมีแคลอรี่เพียง 96 แคลอรี่เท่านั้นเอง  หากใครต้องการลดความลด ก็ลองรับประทานแตงโมก็สามารถลดความอ้วนได้  เพราะแตงโมอุดมไปด้วยน้ำ ทำให้ร่างกายอิ่มเร็ว และทำให้ร่างกายมีความสดชื่นมากมายมหาศาลเย็นนี้ลองแวะตลาดใกล้บ้านท่าน  หาแตงโมลูกใหญ่ ๆ เนื้อแดง ๆ  สักลูกสองลูกไปฝากคนที่เรารักก็ดี   เหมือนกันน่ะจะได้เพิ่มบรรยากาศแห่งความรัก ความอบอุ่น ด้วยแตงโมอีกต่างหาก

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เหยียบกะลา ธรรมชาติบำบัด รักษาได้ทุกโรค

เหยียบกะลา ธรรมชาติบำบัด รักษาได้ทุกโรค 
การเหยียบกะลา เป็นศาสตร์หนึ่งที่ใช้ธรรมชาติบำบัด และรักษาโรคได้หลายโรค  บางคนมองข้ามไปคิดว่าจะต้องไปนวดสปา นวดจับเส้น หรือว่าได้รับอาหารดี ๆ หรือจะเป็นอาหารเสริมต่าง ๆ สิ่งเหล่านั้นก็ถือว่าดีเหมือนกัน  แต่ในความเป็นจริงแล้วเราจะทำได้ไหมที่จะต้องไปนวดสปา ซึ่งราคาค่อนข้างแพง หรืออาจจะไม่มีเวลาไปนวดจับเส้น หรือบางคนอาจจะไม่มีเงินพอที่จะซื้ออาหารเสริมราคาแพง ๆ มาบำรุงร่างกาย  แต่การเหยียบกะลานั้น  สามารถทำได้ทุก ๆ วัน เพียงแค่ใช้เวลากับมันสักเล็กน้อย เราก็จะได้สุขภาพเ้ท้า สุขภาพกายที่ดีกลับคืนมาโดยที่ไม่จำเป็นต้องเสียเงินทองเลย


การเหยียบกะลา สามารถฟื้นฟูผู้ป่วยเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูงได้  ซึ่งมีรายงานจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลตากูก จังหวัดสุรินทร์ จากผู้ป่วยที่เคยทำแผลที่เท้า หลังจากที่ใช้ให้ผู้ป่วยเหยียบกะลา ก็จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น ลดการทำแผลได้มาก 75 % และลดอาการชาไปเรื่อย ๆ 25 % 
กะลาที่ใช้ควรเลือกกะลาที่มีก้นแหลมพอสมควรเพื่อเท้าเราจะได้สัมผัสกับส่วนที่แหลม ทำให้ช่วยผ่อนคลายจุดต่าง ๆ บริเวณอุ้งเท้ากะลาควรเลือกสถานที่ในการวางให้เหมาะสม กะลาควรวางในที่ที่แน่น ไม่คลอนแคลน ควรวางบนพื้นดินทราย หรือเย็บติดกับพื้นพรม  ไม่ควรวางบนพื้นปูน หรือพื้นที่แข็ง เพราะจะทำให้ลื่นได้ง่ายอาจทำให้เกิดอันตรายในการเหยียบได้สำหรับการขึ้นไปเหยียบกะลานั้น ควรหาอุปกรณ์ในการยึดจับให้มั่น เพื่อจะได้ไม่เป็นอันตรายในระหว่างการเหยียบกะลา อาจจะเป็นราวไม้ หรือว่าวางกะลาไว้ใกล้ ๆ โต๊ะ  ใกล้ ๆ ผนังกำแพงบ้านไว้สำหรับจับ เพื่อป้องกันการล้มได้การเหยียบกะลา หากผู้ที่ยังยืนไม่แข็งแรง  ก็ควรใช้เก้าอี้ในการนั่งก่อน แล้วค่อย ๆ พัฒนาในการยืนต่อไป

การเหยียบกะลานั้น ก็ขึ้นไปยืนลักษณะผ่อนคลาย ไม่เกร็ง ยืนแบบสบาย ๆ ค่อย ๆ ย่ำเท้าให้จุดสัมผัสบริเวณอุ้งเท้าเปลี่ยนจุดสัมผัสไปเรื่อย ๆ การเหยียบกะลานั้น ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ทำทุกวันตอนเช้าหรือตอนเย็นก็สุดแล้วแต่จะมีเวลา  แต่ที่สำคัญก็ต้องทำเป็นประจำ 2 - 5 นาทีการดูแลสุขภาพของเรานั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องลงทุนมากมายอะไร เพียงแต่นำเอาวัสดุใกล้ตัว วัสดุธรรมชาติมาใช้ในการบำบัดรักษา 

การเหยียบกะลา กับโรค เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หากเราดูแลร่างกาย ดูแลสุขภาพของเราอย่างสม่ำเสมอ โรคเหล่านั้นก็จะค่อย ๆ ทุเลา หรืออาจหายไปเลยก็ได้หากเราทำอย่างสม่ำเสมอ ส่วนที่เหลือจากกะลามะพร้าว ก็นำไปปลูกต้นไม้ได้ ไม่เสียประโยชน์ 

มะระ สรรพคุณ หวานเป็นลม ขมเป็นยา

มะระ สรรพคุณ หวานเป็นลม ขมเป็นยา
มะระ เป็นผักพื้นบ้านที่มีสรรพคุณเป็นยาขนานเอก นอกจากที่เราจะกินเป็นกับข้าว ไม่ว่าจะต้มจิ้มน้ำพริก หรือว่าจะแกง มะระ ก็ล้วนแล้วแต่มีสรรพคุณดี มีประโยชน์ 


อย่างแรกเลย คือ ความขมของมะระนั้นสามารถช่วยให้เราเจริญอาหาร เพราะสารขมที่อยู่ในมะระนั้นจะช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมามากจึงทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น ซึ่งเราอาจจะนำมะระไปลวก ต้มหรือเผาไฟจิ้มแล้วนำมาจิ้มกับน้ำพริก เป็นกับข้าว

มะระมีคุณสมบัติในการการบำบัดและรักษาโรคเบาหวานระยะเริ่มต้นด้วยสารอาหารในมะระซึ่งทำหน้าที่เพิ่มเบต้าเซลล์ในตับอ่อน โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างอินซูลิน (ฮอร์โมนควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) อีกทั้งมะระยังมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต สารอาหารจะผสมอยู่ในรูปของโปรตีนซึ่งสามารถบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคตับและโรคเบาหวานได้ มะระยังสามารถแก้โรคตับอักเสบ ปวดหัวเข่า ม้ามอักเสบได้

มะระยังมีคุณค่าทางอาหารมากมายเพราะอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี วิตามินบี1 - บี3, เบต้าแคโรทีน, ไฟเบอร์, ธาตุเหล็ก, โพแทสเซียม

เมนูอาหารจากมะระ ได้แก่ ต้มจืดมะระยัดไส้, มะระต้มจับฉ่าย, ผัดะมะระหมูสับ, มะระผัดกุ้ง, มะระผัดน้ำมันหอย เป็นต้น หากจะลดความขมของมะระต้องลวกหรือต้มนาน ๆ โดยคลุกเคล้ากับเกลือก่อนที่จะนำไปปรุงหรือต้มน้ำแล้วเทน้ำทิ้ง 1 ครั้ง ก่อนนำมารับประทานจะช่วยให้กินมะระได้อย่างอะเร็ดอร่อย 

สำหรับข้อควรระวัง เราทานมะระที่ดิบ ๆ กันได้ แต่ห้ามรับประทานมะระที่มีผลสุก เพราะอาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียนได้   เนื่องจากมีสารซาโปนินอยู่มาก ซึ่งสารนี้จะทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย อีกอย่างอย่าทานมะระมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ท้องเสีย เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบาย

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนมีข้อดี ข้อเสีย อยู่ในตัว หากจะเลือกข้อดีก็ควรศึกษาให้มาก ๆ 

คลังบทความของบล็อก