วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

หญ้าปัญจขันธ์ หรือ เจี่ยวกู่หลาน เครื่องดื่มดีมีประโยชน์

เมื่อวันก่อนผมได้มีโอกาสไปทานอาหารแถว ๆ เยาวราช ได้ไปทานอาหารที่ขึ้นชื่อในย่านเยาวราช ซึ่งก็มีหลายอย่าง เช่น กระเพาะปลา ตือฮวน เกาเหลาเลือดหมู ก๋วยจั๊บ กระเพาะหมู ซึ่งในย่านเยาวราชนี้ถือว่าอาหารประเภทนี้ถือว่าสุดยอด ราคาก็ถือว่าไม่แพงมาก และคุณภาพก็ดี สะอาด ใครที่มีโอกาสไปไหว้พระแถว ๆ นั้นก็อย่าลืมไปลองชิมดูรับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน

หลังจากได้รับประทานอาหารกันแล้วทีนี้ผมก็จะมาแนะนำเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง นั่นก็คือ ปัญจขันธ์ หรือคนจีนเรียกว่า เจี่ยวกู่หลาน ( Gynostemma pentaphyllum) ซึ่งเป็นชาสมุนไพร ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก เป็นที่รู้จักของชาวจีนเป็นอย่างดี ในอดีตชาวจีนให้สมญานามว่า เซียนเฉา (XIANCAO) แปลว่าสมุนไพรอมตะหรือ โสมใต้ (Southern Ginseng) และญี่ปุ่นเรียกว่า อมาซาซูรู มีประโยชน์ที่พร้อมสรรพทั้งในเชิงป้องกันและบำรุงร่างกายจนได้รับ ความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์ ในต่างประเทศในการค้นคว้า วิจัยถึงสรรพคุณ ของเจี่ยวกู่หลาน หรือปัญจขันธ์ (JIAOGULAN) สารออกฤทธิ์ของปัญจขันธ์มีชื่อเรียกว่า "จิบเซ็นโนไซด์" ซึ่งมีสูตรโครงสร้างคล้ายคลึงกับ "จินเซ้นโนไซด์" ในโสมคน ปัญจขันธ์จะมีสารประกอบ ซาโปนิน 82 ชนิดซึ่งโสมคนจะมีอยู่ 28 ชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเทศไทยจนได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดสมุนไพรแห่งชาติปี 2548



ซี่งมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นที่ยืนยันว่า เจียวกู่หลานช่วยปรับลดระดับ คอเลสเตอรอลชนิด LDL ที่ทำให้เกิดการอุตตันที่หลอดเลือดหัวใจ ลดความเสียงในการเกิดหัวใจวายเฉียบพลัน 67-93% ขณะที่เพิ่มคอเลสเตอรอลชนิด HDL ทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันได้ดีและลดกรดไขมันอิสระที่เกิดขึ้นด้วยนอกจากนั้นยังมีสรรพคุณอีกหลายชนิด


1.บำรุงร่างกาย
2. ระงับประสาท ช่วยให้นอนหลับ ลดความตื่นเต้น

3.ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ

4. แก้ไข ขับเสมหะ
5. ลดการเกิดต้อกระจก
6. ลดความดันในโลหิต ลดคอเลสเตอรอล กรดไขมันอิสระ ลดน้ำตาลในเลือด
7. รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด

8. ชลอความแก่ และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เพิ่มจำนวนอสุจิ
นอกจากนี้ยังควบคุมการเจริญเติบโตการแพร่เชื้อของเซลล์มะเร็ง รับทั้งยับยั้งการทำงานของเชื้อ HIV
ครับพี่น้องหลังจากที่เรารับประทานอาหารที่อร่อยสุดยอดกันแล้ว ก็หันมาดูแลสุขภาพกันบ้างก็ดีเหมือนกัน ซึ่งภูมิปัญญาไทย - จีน ต้องยอมรับเลยว่าเชื่อถือได้ เพราะทุกวันนี้โรคทั้งหลายมีมากมายซะเหลือเกิน หากเราได้มีความรู้เรื่องเครื่องดื่มไว้บำรุงร่างกายของเราบ้างก็ดีเหมือนกันน่ะครับ

สำหรับการหาซื้อหา ปัญจขันธ์ หรือ เจี่ยวกู่หลาน นี้ว่าหาซื้อได้ที่ไหน ไม่ยากครับพี่น้อง ไปที่ร้านดอยคำ ซึ่งเป็นร้านที่ขายของที่เกี่ยวกับสุขภาพมากมาย มีป้ายบอกสรรพคุณให้เราได้รู้ว่าเครื่องดื่มชนิดนี้มีสรรพคุณอย่างไรบ้าง มีประโยชน์อย่างไรบ้าง ให้เราเลือกซื้อเลื่อกหามารับประทานกันได้ครับ

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551

อาหารดี ๆ กับเวลาที่เหมาะสม

"นาฬิกาชีวิต"
ความจริง ๆ แล้วผมนั่งเขียนบทความต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับการสร้างเงิน Make Money Online ของผม บางทีก็รู้สึกว่าเพลิน ดูเวลาอีกที ตี 1 ตี 2 แต่ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นอะไร หรือว่าร่างกายแข็งแรงอยู่ในตอนนั้น แต่ระยะหลังผมรู้สึกว่าทำแบบนี้แล้ว พอตอนเช้าไม่อยากจะตื่น หรือตื่นมาก็รู้สึกว่าเพลีย (แน่นอนอยู่แล้วคุณนอนดึกนิ) แล้วก็ทานกาแฟสักแก้ว อึม...สดชื่นขึ้นมาหน่อยหนี่ง แต่พอสักพักก็เหมือนเดิม ง่วง และปัญหาที่ตามมาก็คือว่า ท้องผูก ถ่ายลำบาก เอเราก็ทานอาหารตรงเวลานี้ ผักก็ทาน แต่ไม่มาก มีอยู่วันหนึ่งปวดหลังก็เลยไปหาหมอนวด เอ...แล้วกัน หาเรื่อง ...เปล่าหมอนวดแผนโบราณแถว ๆ บ้าน ในระหว่างนวดไปหมอนวดก็กดโน่นกดนี้ แล้วก็มากดที่ท้องเบา ๆ หมอก็บ่นว่า เอ...ท้องคุณตึงจัง ท้องน่ะไม่ใช่หู ครับฟังไม่ผิดท้องตึงไปหน่อย เขาบอกว่าอันเนื่องมาจากระบบขับถ่าย เป็นเถาดานอะไรประมาณนั้น แล้วหมอก็บอกว่าคนเรานั้นการกินการอยู่นั้นสำคัญน่ะ อย่างตอนเช้าควรจะทานอะไร อาหารแบบไหนจึงจะดี ร่างกายของเราประกอบด้วยลม(ปราณ) แหม...เหมือนหนังจีนเลย อยู่ทั่วร่างกาย ถ้าลมดี เลือดก็จะดีด้วย จากนั้นผมก็ลองไปค้นคว้ามาก็ไปเจอบทความดี ๆ มาฝากกัน

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า "นาฬิกาชีวิต" ซึ่งตามตำราแพทย์ตะวันออกหรือแพทย์แผนจีนที่มีอายุกว่า 5,000 ปี (ห้าพันปี) ถือว่า กลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก โดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่วงเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้น ภายในร่างกายของมนุษย์ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในของร่างกายซึ่งประกอบด้วย อวัยวะตันและอวัยวะกลวง
โดยอวัยวะตัน หมายถึง หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต ส่วนอวัยวะกลวง หมายถึง กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย (ชานเจียว)
การไหลเวียนของพลังชีวิต (ลมปราณ) ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง ทั้งหมดมี 12 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า "นาฬิกาชีวิต"
01.00-03.00 น. เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อนถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน (meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอนจากร่างกายจะหลั่งมีราทินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (endorphin) ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลักของตับ คือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รอง คือ

1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บจะไม่สวย
2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อย ๆ จะทำให้ตับทำงานหนักตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามากจึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ
03.00-05.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด ควรตื่นขึ้นมาสูดอากาศรับแดดตอนเช้า ผู้ที่ตื่นช่วงนี้ประจำ ปอดจะดี ผิวดี และเป็นคนมีอำนาจในตัว
05.00-07.00 น. ลำไส้ใหญ่ ควรถ่ายให้เป็นนิสัย ถ้าไม่ถ่ายให้กดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูก ถ้ายังก็ให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว หรือบริหารโดยยืนตรง หายใจเข้าแล้วก้มลงพร้อมหายใจออก เอามือท้าวเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง คนที่ถ่ายยากต้องกินข้าวเช้า บางคนไม่กินข้าวแต่กินกาแฟ ร่างการจะดูดกากอาหารตกค้างซึ่งกำลังจะเป็นอุจจาระเข้าไปใหม่ เท่ากับกินกาแฟแกล้มอุจจาระ
คนเรามักไม่ตื่นกันตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาที่ลำไส้ต้องบีบอุจจาระลง เมื่อไม่ตื่นจึงบีบขึ้น เมื่อไม่ถ่ายตอนเช้าลำไส้ใหญ่จึงรวน แล้วจะมีอาการปวดหัวไหล่ กล้ามเนื้อเพดานจะหย่อน แล้วจะนอนกรนในที่สุด
07.00-09.00 น. กระเพาะอาหาร กินเข้าเช้าตอนนี้จะดี กระเพาะแข็งแรง ถ้ากระเพาะอ่อนแอ จะทำให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย ถ้าไม่กินข้าวเช้าอุจจาระจะถูกดูดกลับมาที่กระเพาะ กลิ่นตัวจะเหม็น ถ้าถ่ายออกหมดจะไม่มีกลิ่นตัวเท่าไหร่
09.00-11.00 น. ม้าม ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย หน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดหัวบ่อยมักมาจากม้าม อาการเจ็บชายโครงมาจากม้ามกับตับ ม้ามโต จะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย ม้ามชื้น อาหารแและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน ทำให้อ้วนง่าย คนที่หลับช่วง 9.00-11.00 น. ม้ามจะอ่อนแอ ม้ามยังโยงไปถึงริมฝีปาก คนที่พูดมากช่วงนี้ม้ามจะชื้น ควรพูดน้อยกินน้อย ไม่นอนหลับ ม้ามจะแข็งแรง
11.00-13.00 น. หัวใจ หัวใจจะทำงานหนักช่วงนี้ ให้หลีกเลี่ยงความเครียด หรือใช้ความคิดหนัก หาทางระงับอารมณ์ไว้
13.00-15.00 น. ลำไส้เล็ก ควรงดกินอาหารทุกประเภท เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงาน ลำไส้เล็กทำหน้าที่ดูดสารอาหารที่เป็นน้ำเพื่อสร้างกรดอะมิโนสร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง
15.00-17.00 น. กระเพาะปัสสาวะ จะเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด ช่วสงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออก จะออกกำลังการหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง การอั้นปัสสาวะบ่อย จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ทำให้เหงื่อเหม็น
17.00-19.00 น. ไต ควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนตอนนี้ ถ้าง่วงแสดงว่าไตเสื่อม ยิ่งหลับแล้วเพ้อ อาการยิ่งหนัก ไตซ้าย คุมสมองด้านขวาคือความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ถ้ามีปัญหา อารมณ์นี้จะหมดไปเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว แต่ไม่ปล่อยวาง และขี้ร้อน ไตขวา จะคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมด้านความจำ ถ้ามีปัญหาความจำจะเสื่อมและเป็นคนขี้หนาว ผู้ใดที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนอายุยืน เป็นคนกล้า ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต จะทำงานหนักเป็นโรคไต สมองเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลด การดูแลคือ เช้าอาบน้ำเย็น เย็นอาบน้ำอุ่น
19.00-21.00 น. เยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงนี้ควรสวดมนต์ ทำสมาธิ ให้ระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ หัวเราะ
21.00-23.00 น. เวลาของระบบความร้อนของร่างการ ต้องทำร่างายให้อุ่น ห้ามอาบน้ำเย็นเวลานี้จะเจ็บป่วยได้ง่าย ช่วงนี้อย่าตากลมเพราะลมมีพิษ
23.00-01.00 น. ถุงน้ำดี เป็นถุงสำรองน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ อวัยวะใดขาดน้ำ จะดึงมาจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น อารมจะฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก ตอนเช้าจะจาม ถุงน้ำดีจะโยงถึงปอด จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรดื่มน้ำก่อนเข้านอนหรือก่อนเวลา 23.00 น. อีกทั้งการย่อยไขมันของร่างกายจะเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้เท่านั้น ซึ่งหากไม่พักผ่อนช่วงนี้ ไขมันดังกล่าวจะตกตะกอนอยู่ตามร่างกาย เช่นถุงไขมันใต้ตา มีพุง สมองเละเลือนง่าย ปวดไหล่ ปวดท้องง่ายบริเวณลำไส้ใหญ่ ท้องเสีย หรือท้องผูกง่ายอีกด้วย
เห็นไหมล่ะว่าเวลาเป็นของมีค่ามากขนาดไหน นอกจากจะทำให้เกิดประโยชน์กับผู้ที่รู้จักใช้เวลา ยังส่งผลดีต่อสุขภาพด้วย หากรู้จักบริหารเวลาให้เหมาะสมกับสภาวะของร่างกาย
โดย รัชนก อมรรักษากุล ที่มา : เว็บไซต์เฮลส์คอร์เนอร์

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551

อาหารกับโรคหลอดเลือดแดงแข็ง

ผมได้ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพประจำ ก็รู้สึกตกใจกับโรคร้ายต่าง ๆ ที่เป็นภัยเงียบที่เราหลาย ๆ คนนิ่งนอนใจหรืออาจจะเรียกว่าชะล้าใจประมาณนั้น คุณหมอบอกว่าเดี๋ยวนี้มีโรคที่เป็นกันง่าย ๆ เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน อาจจะเป็นไปได้ว่าขาดอะไรไปสักอย่าง เช่น รับประทานอาหารที่ไม่ครบหมู่ หรือว่าอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อนยาฆ่าแมลง และขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อันเนื่องจากการเดินทางที่อยู่บนท้องถนนจากการจราจร เป็นต้น
วันนี้ผมจึงได้มาแนะนำโรคหลอดเลือดแดงแข็งและการป้องกัน ซึ่งจากคำอธิบายของคุณหมอบอกว่า หากเรา ๆ ท่าน ๆ ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีภาวะโคเลสเตอรอลในเลือดสูง นั่นหมายความว่ามีผลนำไปสู่การเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง เนื่องจากการมีโคเลสเตอรรอลสูงจะทำให้ผนังหลอดเลือดแดงเกิดการเสื่อมและมีการสะสมของตะกรัน (Plaque) ทำให้อุดกั้นการไหลเวียนของเลือดกระบวนการเหล่านี้ก่อให้เกิด "โรคหลอดเลือดแข็ง" นั่นเอง รวมถึงการปฏิบัติตัวเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคหลาย
รูปหลอดเลือดแดง เส้นเลือดด้านบนสุดเป็นเส้นเลือดที่ปกติ
เส้นเลือดด้านล่างสุดเป็นเส้นเลือดที่มีตะกรันสะสมหนาตัวขึ้นขัดขวางการไหลเวียนของเลือด
ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง คือ ไขมันตัวร้าย (LDL-cholesterol) ซึ่งไม่ควรเกิน 130 mg/dl ถ้ามีปริมาณมาก จะสะสมอยู่ในหลอดเลือดแดง และเป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
ผู้ชายอายุ 40 ปีขึ้นไป
ผู้หญิงอายุ 55 ปีขึ้นไป
มีโรคเบาหวาน
มีความดันโลหิตสูง
มีไขมันในเลือดสูง
สูบบุหรี่
เครียด
น้ำหนักเกิน
ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
มีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคของหลอดเลือด
โรคหลอดเลือดแดงแข็งสามารถเกิดได้กับหลอดเลือดทั่วร่างกาย ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน ดังนี้
1. สมอง ตะกรันอุดตันในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หรือที่รู้จักกันว่า อัมพฤกษ์ อัมพาต
2. หัวใจ การปิดกั้นที่หลอดเลือดโคโรนารี จะทำให้เกิดหัวใจวายเฉียบพลัน (Heart attack)
3. หลอดเลือดแดงใหญ่ อาจเกิดโป่งพอง และจะเป็นอันตรายมากหากหลอดเลือดโป่งพองจนแตก (reptured aneurysm)
4. ไ หลอดเลือดแดงที่ไตถูกปิดกั้นทำให้ไตถูกทำลาย จนในที่สุดเป็นไตวาย (Kidney failure)
5. ขา การปิดกั้นที่หลอดเลือดแดงที่ขาจะทำให้ปวด และเกิดอาการหลอดเลือดแดงส่วนปลายอักเสบ (peripheral arterial disease, PAD)
ดังนั้นการควบคุมระดับโคเรสเตอรอลในเลือดในอยู่ในเกณฑ์ปกติมีความสำคัญมากที่สุด
การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
1. กินอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูง เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ต่าง ๆ ข้าวกล้อง
2. ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้ผ่องใจ ไม่เครียด สวดมนต์ภาวนา นั่งสมาธิ
3. คุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม กับความสูง
4. กินยาควบคุมระดับโคเลสเตอรอลตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
5. ไปพบแพทย์อย่างต่อเนื่อง

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551

กระเจี๊ยบ+พุทราจีน ล้างไขมันในเส้นเลือด


สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้ผมมีอาหารประเภทเครื่องดื่มที่เป็นของไทย ๆ แต่สรรพคุณมากมายเหลือเกิน นั่นก็คือกระเจี๊ยบ+พุทราจีน ซึ่งมีประโยชน์ ในการช่วยล้างไขมันในเส้นเลือดที่มีมากเกินไป เมื่อไขมันถูกล้างออกไปเรื่อย ๆ โดยการกินน้ำกระเจี๊ยบ+พุทราจีน ผนังหลอดเลือดก็จะยืดหยุ่น บีบตัวและขยายตัวเพื่อให้การไหวเวียนของเลือดสะดวกขึ้น บีบตัวและขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจให้สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายโดยไม่มีไขมันมาขัดขวาง พวกเส้นเลือดขอดก็จะพอทุเลาลงได้ แล้วยังช่วยให้เส้นเลือดแข็งแรง ไม่เปราะแตกง่าย



แต่ก็ไม่ควรกินน้ำกระเจี๊ยบต้มอย่างเดียวนาน ๆ เพราะจะทำให้ไตเสื่อม จึงต้องมีพุทราจีนตากแห้งผสมลงไปเป็นตัวแก้และช่วยบำรุงไตไปพร้อมกัน



และไม่ควรใส่น้ำตาลให้หวานเกินไป อาจจะทำให้เป็นเบาหวานในอนาคตได้ ควรให้มีลดหวานนิด ๆ ก็พอ ของอะไรถ้ามากไปก็ไม่ดี เหมือนกับคำที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่า ทำให้ทำแต่ให้พอดี ตหรือว่าเดินสายกลางนั่นเอง คำ ๆ นี้ใช้ได้ตลอดไม่ว่าจะเกี่ยวกับอะไรก็ตาม คำ ๆ นี้ยังใช้ได้เสมอ






วิธีทำ
เตรียมกระเจี๊ยบ 1 กำมือ
พุทราจีนแห้ง 1 กำมือ
ล้างน้ำให้สะอดา บีบพุทราจีนให้แตก ใส่รวมกันลงภาชนะเติมน้ำเปล่า 2 ลิตร ต้มให้เดือดสักพักหนึ่ง แล้วยกลง เทกรองเนื้อออกให้เหลือแต่น้ำเติมน้ำตาลแล้วชิม ถ้าไม่เติมน้ำตาล ใช้ใบหญ้าหวาน หรือลำไยตากแห้งแทนน้ำตาลจะได้ความหวานจากธรรมชาติที่ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ทำเก็บใส่ขวดแช่เย็นเอาไว้ดื่มได้หลาย ๆ วัน เวลาอากาศร้อน ๆ นำมาดื่มชื่นใจดีนัก เพื่อน ๆ เอาไปทำได้ ทำง่าย ไม่ยาก สำหรับกระเจี๊ยบและพุทราจีนไปหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าก็มีขายแล้ว หรือจะเป็นร้านดอยคำที่นั่นเขาเน้นอาหารและเครื่องดื่มที่เน้นสุขภาพล้วน ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

อาหารกับความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตกับอาหาร คนไทยสมัยก่อนเป็นโรคติดเชื้อและโรคพยาธิกันมากเพราะการสาธารสุขในสังคมไทยยุคก่อนไม่เจริญพอแต่สำหรับคนไทยยุคใหม่โรคที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุดไม่ใช่โรคติดเชื้อแต่กลายเป็นโรคหัวใจ ในบรรดาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจนั้นมีเรื่องของความดันโลหิตสูงร่วมอยู่ด้วย คนปกติจะมีความดันโลหิต 120/80 มิลลิเมตรปรอท โดยเฉลี่ย ตัวเลขจำนวนแรกเป็นตัวเลขแสดงความดันขณะหัวใจบีบตัว (systolic) ส่วนตัวเลขจำนวนหลังแสดงความดันขณะที่ หัวใจ คลายตัว (diastolic) หากพิจารณาตามมาตรฐานอเมริกันซึ่งคนไทยหยิบยืนมาให้ยืมมาใช้บอกไว้ว่าความดันโลหิตของคนเราอาจจะสูงขึ้นได้ แต่อย่าให้สูงเกิน 140/90 เพราะถ้าเกินค่านี้แล้วย่อมหมายความว่าชีวิตของเรากำลังผจญกับความเสี่ยงหลายประการที่เกี่ยวกับความดันโลหิตสูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหัวใจล้มเหลวเส้นโลหิตในสมองแตก และเรื่องอื่น ๆ ใครที่ห่วงตัวเองว่าอาจมีปัญหาความดันโลหิตสูง ควรไปพบแพทย์ได้ตรวจร่างกายซึ่งแพทย์ก็จะทำการตรวจวัดความดันโลหิตให้เราเป็นประจำเรา็ก็จะได้รับทราบว่าความดันโลหิตของเราเท่าไร เพื่อจะได้ปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม และต้องไม่ลืมปฏิบัติตัวตามที่แพทย์ หรือว่าเราอาจจะซื้อเครื่องวัดความดันโหลิตไว้ใช้เองเลยก็ดี จะได้สะดวกยิ่งขึ้นเราสามารถวัดได้เอง ซึ่งปัจจุบันก็มีจำหน่วยมากมายหลายแบบตามร้านยาที่มีเภสัชกรคอยแนะนำ



ดังนั้นจึงควรรู้จักหาหนทางป้องกันตัวเองไว้ เครื่องมือหนึ่งที่จะใช้ป้องกันตัวเองให้พ้นจากความดันโลหิตสูงก็คือ อาหาร ขึ้นฉ่าย ผักชี อาหารช่วยลดความดัน อาหารลดความดันที่คนเองเชียรู้จักกันมานมนานแล้วก็คือขึ้นฉ่ายและผักชี ในตำรับยาโบราณของจีน เวียดนาม เกาหลี ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ไทยมีเรื่องการใช้ขึ้นฉ่ายและผักชีลดความดันโลหิตหรืออาการที่น่าจะเกี่ยวข้องกับความดันโลหิต

ดร. วิลเลียม เอลเลียตต์ (William Elliott) แห่งวิทยาลัยแพทย์ พริตชเกอร์ของมหาวิทยาลัยชิคาโกสงสัยเรื่องคุณสมบัติของสารเคมีในผักชีฝรั่ง ที่เกี่ยวข้องกับการลดความดันโลหิตมานาน ต่อมาเมื่อได้ยินข่าวเรื่องลุงของลูกศิษย์ชาวเวียดนามคนหนึ่งใช้ผักชีฝรั่งในการรักษาความดันก็ยิ่งสนใจเรื่องผักจำพวกผักชีและขึ้นฉ่ายมากขึ้น จึงทดลองสกัดสารพฤกษาเคมีออกมาจากผักชีฝรั่งแล้วลองฉีดเข้าไปในหนู ผลที่ได้ก็คือตัวเลขความดันขณะหัวใจบีบตัวมีค่าลดลงประมาณร้อยละ 13 ลดความดันโลหิตคือสารบิวทาไลด์ (3-n-butyl phthalide) ปริมาณของสารนี้ในผักชีฝรั่งหรือขึ้นฉ่ายต้นอวบ ๆ 2-4 ต้นจะให้ผลในการลดความดันโลหิตได้ สารพฤกษาเคมีชนิดนี้พบมากในขึ้นฉ่ายมากกว่าผักชนิดนี้พบมากในขึ้นฉ่ายมากกว่าผักชนิดอื่น ดร.เอเลียตต์ อธิบายกลไกของสารเคมีในการลดความดันโลหิตไว้ว่า สารบิวทิลทาไลด์จะลดการหลั่งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด(stress hormone) ทั้งหลายซึ่งจะส่งผลให้การบีบตัวของหลอดเลือดลดลง ผลที่ตามมาคือความโลหิตลดลง ข้อที่ควรระวังของผักชีและขึ้นฉ่ายที่อาจจะมีอยู่บ้างคือเรื่องเกลือโซเดียม ผักกลุ่มนี้เป็นผักที่มีเกลือโซเดียมค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผักชนิดอื่น และเกลือโซเดียมนี้มีผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น แต่ ดร. เอลเลียตต์กล่าวว่าเกลือโซเดียมในผักชีฝรั่งหนึ่งต้นมีประมาณ 35 มิลลิกรัม หากรับประทานผักชีฝรั่งหรือขึ้นฉ่ายสองต้นจะได้เกลือโซเดียมเพียง 70 มิลลิกรัมซึ่งยังนับว่าน้อยมากจึงยังไม่มีผลต่อความดันโลหิตปัญหาอีกประการหนึ่งก็คือเรื่องความสะอาด ขึ้นฉ่ายและผักชีเป็นผักที่มีรูปลักษณ์ของใบและกิ่งที่สามารถเก็บความสกปรกไว้ได้มาก เกษตรกรบางกลุ่มนิยมใช้ปุ๋ยธรรมชาติซึ่งมาจากอุจจาระ ขณะเดียวกันคนไทยจำนวนไม่น้อยนิยมรับประทานขึ้นฉ่ายในลักษณะผักสดโดยไม่ใคร่นิยมรับประทานเป็นผักต้มหรือให้ความร้อนก่อน จึงอาจทำให้เกิดโรคท้องร่วงหือพยาธิได้ ด้วยเหตุนี้จึงขอเตือนให้ระวังเรื่องความสะอาดไว้ให้มาก หากปรุงอาหารเองก็ควรล้างขึ้นฉ่ายหลาย ๆ น้ำ หรือเด็ดออกเป็นกิ่ง แล้วล้าง หรืออาจแช่น้ำด่างทับทิมหรือโซดาไว้สักครู่ จากนั้นจึงล้างน้ำต่อจนมั่นใจว่าขึ้นฉ่ายและผักชีสะอาดแล้ว กระเทียม สมุนไพรสารพัดประโยชน์ อาหารธรรมดา ตัวต่อไปที่ใช้ลดความดันโลหิตได้ก็กระเทียมกระเทียมแทบจะเป็นผักสารพัดประโยชน์เพราะใช้ทั้งป้องกันและรักษาได้หลายโรค เรื่องของกระเทียมกับความดันโลหิตสูงมีระบุไว้ในตำรับยาจีนโบราณ ส่วนในสมัยนี้ชายเยอรมันซึ่งโดยเฉลี่ยมีการศึกษาสูงนิยมรับประทานกระเทียมเพื่อช่วยลดความดันโลหิต ในประเทศเยอรมนีเคยมีการศึกษาทางการแพทย์ที่น่าสนใจกล่าวถึงการรับประทานกระเทียมเป็นประจำวันละ 2 กลีบโต ๆ ว่าสามารถลดความดันโลหิตโดยเฉลี่ยจาก 171/102 เหลือ 152/89 ได้ ในการทดลองเดียวกันกลุ่มที่ได้ยาหลอก (placebo) จะพบว่าความดันโลหิตไม่เปลี่ยนแปลงเท่าใด นักเชื่อกันว่ากระเทียมลดความดันได้เพราะมีสารพฤกษาเคมีชื่อ แอดีโนซีน (adenosine) เป็นองค์ประกอบในปริมาณค่อนข้างสูง สารนี้ช่วยทำให้กล้ามเนื้อเรียบที่เป็นกล้ามเนื้อของหลอดเลือดคลายตัวมากกว่าปกติในหัวหอมก็มีสารนี้พอสมควร และยังพบว่ามีสารพรอสทาแกลนดิน A1 ชนิดนี้เป็นสารกึ่งฮอร์โมนที่ช่วยให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัวได้ มีฝรั่งจำนวนไม่น้อยที่ไม่รับประทานกระเทียม โชคดีของคนไทยที่ไม่ใคร่กลิ่นเรื่องกลิ่นกระเทียม ชอบรับประทานทั้งแบบสดและปรุง อันที่จริงกระเทียมทุกรูปแบบให้คุณค่าไม่ต่างกันนัก เพียงแต่กระเทียมสดอาจมีฤทธิ์มากกว่า

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

ตำนาน “ขนมไหว้พระจันทร์ "



ตำนาน “ขนมไหว้พระจันทร์”
สวัสดีครับทุกท่านวันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์แล้วนะครับ (ปีนี้ตรงกับวันที่ 14 ก.ย. 2551 ตรงกับขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10) วันพระใหญ่ด้วยน่ะครับ วันนี้พี่ น้อง ชาวไทยเชื้อสายจีนก็จะซื้อขนมไหว้พระจันทร์เพื่อไหว้กัน แล้วพี่ น้อง รู้หรือไม่ว่า ขนมนี้มีตำนานอย่างไร…





กำเนิด…ไหว้พระจันทร์

เทศกาลไหว้พระจันทร์ กำเนิดขึ้นจากความเชื่อของชาวจีน ตรงกับวันขึ้น 15 เดือน 8 ตามจันทรคติ เป็นวันสารท เพราะตรงกับวันกลางเดือนของจีน ในฤดูใบไม้ร่วง ที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆฝน เหมาะสำหรับการชมจันทร์อย่างได้อรรถรสมากที่สุด โดยใช้ขนมไหว้ก้อนกลม มีไส้ เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนดินแดนสีเหลืองนวลอันไกลโพ้น หลายคนอาจสงสัย เมื่อดูปฏิทินบ้านเราทั่วไป เหตุใดถึงเป็นวันเพ็ญเดือน 10 ไม่ใช่เดือน 8 เสียหน่อย ก็ นั่นเป็นเพราะเขานับกันตามปฏิทินจีนแท้ๆ ซึ่งเริ่มนับจากวันตรุษจีน (ปีใหม่จีน) แต่ตามเวลาของไทยนั้น วันไหว้พระจันทร์ จะอยู่ราวๆ เดือนกันยายน หรือไม่ก็ตุลาคม ส่วนในปี 2551 นี้ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พอดิบพอดี
ตำนาน …ขนมไหว้พระจันทร์ จากเรื่องเล่าพงศาวดารจีน เมื่อประมาณ 600 ปีก่อน สมัยปลายราชวงศ์หยวน เจงกิสข่าน จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งมองโกล เข้ายึดครองแผ่นดินใหญ่และปกครองชาวจีนอย่างเข้มงวด มากด้วยกฎระเบียบอันหฤโหด เผด็จการ ส่งผลให้ชาวจีนที่อยู่ภายใต้อำนาจกดดันจนต้องก่อตั้งขบวนการใต้ดินเพื่อคิดการ “ปฏิวัติ” ด้วยความฉลาด จึงตั้งอุบายจัดงานไหว้พระจันทร์ขึ้น และใช้ขนมก้อนกลมขนาดใหญ่มีไส้หนา เป็นสื่อ แล้วส่งมอบขนมให้กันในหมู่ญาติมิตร โดยที่ภายในนั้น ซ่อนจดหมายนัดแนะกันไว้
เมื่อถึงเพลาตามกำหนด ในช่วง เที่ยงคืนของวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ไพร่พลจีน ต่างตีเกราะเคาะร้องเป็นการส่งสัญญาณ (คำฮิต เรียก เป่านกหวีด) พร้อมใจกันผนึกกำลังสังหารพวกมองโกล สุดท้ายจีน ก็สามารถกู้เอกราชคืนกลับมาจนได้ เมื่อบ่วงบาศก์พันธนาการแห่งการไร้สิ้นอิสรภาพผ่านพ้นไป บ้านเมืองกลับมาสงบสุขอีกครั้ง คนจีนจึงถือเอา วันเพ็ญเดือนแปด เป็นประเพณีวันไหว้พระจันทร์เรื่อยมา เพื่อระลึกถึงวีรกรรมของเหล่าวีรชนที่ร่วม “กู้ชาติ” จนได้มาซึ่งชัยชนะ ปั้นก้อนแป้ง เติมส่วนผสม จนได้ขนมไหว้พระจันทร์
ทีเด็ดของขนมไหว้พระจันทร์ อยู่ตรงไส้ ซึ่งถูกปรุงแต่งด้วยรสชาติที่แตกต่างกัน ตามวัสดุที่เลือกสรร ทั้งยังต่างไปตามแต่ละถิ่น และเพื่อเพิ่มความสวยงามให้เหมาะกับพระจันทร์ ต่อมาได้มีการเพิ่มลวดลายไปบนส่วนหน้าขนมให้เกิดความงดงาม และดูน่ารับประทานขึ้น
ตำรับจีนแท้ดั้งเดิม ส่วนผสมของขนมไหว้พระจันทร์ ประกอบด้วย ถั่วแดง ลูกนัทจีน 5 ชนิด และ เมล็ดบัว เป็นต้น แต่ก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น เรียกว่า สูตรใครสูตรมัน แล้วแต่ความชอบ นอกจากนี้ยังทำให้ชื่อเรียกต่างกันไปด้วย เช่น ไส้ผลไม้ ไส้ถั่วแดง ไส้ลูกบัว ไส้แฮม ไส้ไข่เค็ม เป็นต้น



พิธีกรรม

ธรรมเนียมการไหว้พระจันทร์ของคนจีน ตามปกติจะเริ่มหลังจากที่ดวงจันทร์ขึ้นแล้ว ตั้งแต่เวลา 1 ทุ่มไปจนถึงเที่ยงคืน โดยตั้งของบูชาไว้ที่หน้าบ้าน บนโต๊ะขนาดใหญ่ และต้องให้ผู้หญิงเป็นผู้รับผิดชอบยกของไหว้มาจัดวาง ที่อาจมีทั้ง ขนมอี้ ขนมโก๋ ขนมเปี๊ยะ ถั่ว รากบัว ผลไม้ ฯลฯ และขนมไหว้พระจันทร์ ไส้ต่างๆ ประดับด้วยอ้อยมัดเป็นซุ้มอย่างสวยงาม ขนาบสองข้างด้วยโคมจีนดวงโต
เหตุที่ใช้ผู้หญิง เพราะเชื่อว่า พระจันทร์มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแนบแน่นกับเทพเจ้าสตรี ดังนั้น การประกอบพิธีกรรมจึงมักมีการบูชาด้วยแป้งและเครื่องสำอางด้วย ด้วยหวังว่า จะนำมาซึ่งความสวยงามและผิวงามแก่สมาชิกในครอบครัว


ความกลมเกลียว
เมื่อการบูชาจบลง คนทั้งบ้านก็จะแบ่งขนมกันกิน เนื่องจากขนมไหว้พระจันทร์เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความสามัคคี ของคนในครอบครัว หรือคนในชาติ ดังนั้นบางคน เขาก็จะเรียก ขนมไหว้พระจันทร์ว่า ” ขนมแห่งความกลมเกลียว “นี่ล่ะมั้ง เหตุที่ขนมไหว้พระจันทร์ต้องก้อนกลม เพราะ ความกลมของขนมหมายถึง การได้กลับมาอยู่พร้อมหน้า พร้อมตาของคนภายในครอบครัว

ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยน อะไรก็ดูจะแทนที่ด้วยเทคโนโลยี ซ้ำการดำเนินชีวิตยังต้องอยู่ท่ามกลางสมรภูมิแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันอีก ทำให้พิธีกรรมต่างๆ ที่เคยสืบทอดจากบรรพบุรุษค่อยๆลางเลือนไปตามกาลเวลา คงไม่แปลกหากการไหว้พระจันทร์ จะพลอยถูกลดความสำคัญไปด้วย จนอาจเหลือแค่ตัวขนม ที่เด็กบางคนรู้แค่ว่า ปีหนึ่งจะได้กลับมากินสักครั้งเท่านั้น




นัยยะที่แฝงจากจุดกำเนิดด้วยเรื่องเล่าต่างๆ สะท้อนความระลึกคิดของผู้คนใส่ไว้ในจิตใจ ดังนั้น ขนมไหว้พระจันทร์ที่ปรุงแต่งด้วยคุณค่าศาสตร์และศิลป์จึงเปรียบสัญลักษณ์แห่งความเป็น “น้ำหนึ่งใจเดียวกัน” เห็นตัวอย่างได้จากคนจีน เพราะถ้าเมื่อไหร่ ที่แตก “สามัคคี” เมื่อนั้น ก็จะถูกรุกรานและครอบงำ เมื่อไหร่ที่เกิดความไม่หนักแน่น เมื่อนั่นความหายนะก็จะบังเกิด