วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

10 ผักสมุนไพร ข้างบ้านมีประโยชน์มากกว่าที่คิด

10 ผักสมุนไพร ข้างบ้านมีประโยชน์มากกว่าที่คิด
วันนี้ขอนำ 10 ผักสมุนไพร ที่อยู่ใกล้ตัวเรา อยู่ข้างบ้านเรา ซึ่งมีประโยชน์มากมาย เป็นทั้งผักและสมุนไพรที่ใคร ๆ อาจหลงลืมที่จะนำมารับประทานกัน ซึ่งผักสมุนไพร 10 อย่างนั้นถือว่าเป็นพืชผักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ  หากนำมาปฏิบัติ นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราก็จะมีประโยชน์มากมาย ทั้งดีต่อสุขภาพร่างกาย และดีต่อสุขภาพเงินในกระเป๋าของเราเอง ซึ่งไม่ต้องไปซื้อหาที่ไหน ๆ มารับประทานนั้นเอง เรามาลองสำรวจผัก 10 อย่างข้างบ้านเราดูซิว่ามีอะไรบ้าง
1. ขิง สมุนไพรรสร้อนแรง แต่ดีต่อสุขภาพนัก กินไล่หวัดได้ดี เหมาะกับบำรุงร่างกายในหน้าฝนและหน้าหนาว น้ำขิงอุ่น ๆ จะช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อน แก้เมารถ ไมเกรน ปวดตามข้อ ลดคอเลสเตอรรอลได้ดีด้วย ส่วนวิธีนำมาใช้ สามารถนำมาใช้ได้ทั้งแก่และอ่อน เหง้าอ่อนใช้ปรุงอาหารคาวหวาน ดับกลิ่นคาวได้ดี จะกินเป็นเครื่องเคียงก็ได้ ส่วนขิงแก่ มักจะนำมาทำเป็นน้ำขิงโดยที่เราไม่ต้องไปซื้อขิงผงขิงซองมาชงกินให้เสียสตังค์
2. สะระแหน่ ถ้าเรารู้จักมิ้นท์ของฝรั่ง เราก็ควรรู้จักสะระแหน่ เพราะตระกูลเดียวกัน กลิ่นของสะระแหน่นั้นจะเย็น ๆ มีสรรพคุณของสะระแหน่เป็นยาเย็น ใช้ดับร้อนได้ดี ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ ลดความเครียด ใบสดของสะระแหน่ สามารถนำมาบดใช้ทาผิวให้ชุ่มชื้นได้ แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ไล่ยุง และบรรเทาอาการปวดได้ดีกว่ายาแก้ปวดเสียด้วย เรามักพบสะระแหน่ได้มากในอาหารประเภท ยำ ลาภ น้ำตก ต้มยำ หรืออาหารรสจัด ก็เพื่อให้บรรเทารสชาติอันเผ็ดร้อนนั่นเอง ลองดูซิว่าข้างบ้า่นเรามีใครปลูกสะระแหน่ไว้ในกระถางบ้างหรือเปล่า
3. แมงลัก สาว ๆ หลายคนรู้จักดี เพราะมักเป็นหนึ่งในส่วนผสมของสูตรอาหารลดความอ้วน จริง ๆ แล้วสรรพคุณของเจ้าแมงลักนั้น มีฤทธิ์เป็นยาระบาย เพราะเมือกสีขาวรอยเมล็ด จะทำให้อุจจาระอ่อนตัวลง ช่วยขับพิษในลำไส้ นอกจากนี้ใบอ่อนมีแคลเซียมสูง บำรุงกระดูกได้ดี ซึ่งแมงลักนั้นเพาะง่ายเพียงแต่โรยเม็ดแก่ ๆ ไว้ในกระบะหรือกระถางข้างบ้านเพียงเท่านี้เจ้าแมงลักก็จะเติบโตให้เราได้เชยชมกัน
4. กระเพรา ใครชอบกินผักกระเพราบ้าง น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก แทบทุกคนต้องเคยทานอาหารเมนูจานนี้แน่นอน รู้หรือไม่ว่า ใบกระเพราเป็นแหล่งของฟอสฟอรัสและวิตามินเอ ในปริมาณสูง ช่วยขับลมในกระเพาะ ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ กระตุ้นการขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมัน ลดการจุกเสียด ป้องกันโรคมะเร็ง หัวใจขาดเลือด ช่วยขับน้ำนมให้สตรีหลังคลอด น้ำคั้นจากใบช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้ ขับเสมหะ ทาผิวแก้กลากเกลื้อน คั่นเอาน้ำหยอดหูแก้ปวดหู ใบสดขยี้ให้มีกลิ่นไล่แมลงได้ หรือไว้ทาหูดก็ดี นอนจากนี้ถ้านำมาต้ม สามารถดื่มบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ กระเพราะการปลูกก็เหมือน ๆ กับแมงลักนั่นเอง เพียงแค่โรยเม็ดแก่ลงดินจะเป็นในกระถางหรือกระบะหรือในดินข้างบ้านเราเท่านั้นเอง
5. โหระพา ผักอีกชนิดที่ให้รสร้อนแรง แต่อุดมด้วยแคลเซียมและเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีส่วนในการป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด มะเร็ง ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ แก้หวัดและขับเหงื่อ ถ้านำเมล็ดไปแช่น้ำ จะนำมารักษาโรคบิดได้ ช่วยให้ลำไส้หล่อลื่นขึ้น โหระพาอยู่ในอาหารพวกแกง ผัด ทอด หรือจะกินสดก็ได้
6. กระชาย กลิ่นหอมแรง สรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ ขับระดูขาว บำรุงร่างกาย ขับลมได้ดี ใช้เหง้าสดทุบพอแตกต้มน้ำดื่มแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ บ้างว่าสามารถช่วยกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย โดยมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "โสมไทย" ใครที่รู้ตัวว่าหย่อนสมรรถภาพทางเพศก็ลองรับประทานกระชายเผื่อว่าอะไร ๆ มันจะดีขึ้นมาน่ะขอบอก
7. ตะไคร้ หลายคนชอบดื่มน้ำ เพราะมีรสชาติเผ็ดนิด ๆ อีกทั้งยังเป็นส่วนผสมสำคัญในต้มยำอีกด้วย คุณประโยชน์ บำรุงธาตุ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว ขับลมในลำไส้ ช่วยให้เจริญอาหาร แก้โรคหืด อหิวาตกโรค บำรุงสมอง แก้เกลื้อน ที่สำคัญถ้าปลูกไว้รอบ ๆ บ้าน จะสามารถไล่ยุงได้ อันนี้จริงหรือไม่ก็ลองไปดูข้างบ้านซิว่าที่ต้นตะไคร้มียุงอยู่หรือเปล่า แต่ต้นตะไคร้ใส่ต้มยำแล้วรับรองว่าอร่อยสุด ๆ เลย
8. ข่า ประดับก็ดี แถมกินก็ได้ประโยชน์ เรามักกินตอนที่มักยังอ่อน หน่ออ่อนหรือช่อดอกอ่อนจะไว้กินกับน้ำพริก รสชาติเผ็ดปร่า เหง้าใช้เป็นเครื่องพริกแกงหรือเครื่องต้มยำ ข้อดีของข่าคือ ช่วยขับลมไม่ให้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้จุกเสียด โรคกระเพาะ ลดไขมัน แก้หลอดลมอักเสบ และยังเป็นยาระบายอ่อน ๆ ด้วย เพราะฉะนั้นต้มยำกุ้งที่ต้นข่าอ่อน ๆ นั่นแหละของดีมีประโยชน์อย่าทิ้งเพราะว่าแก้ปวดท้องดีนักแล
9. พริก รสชาติร้อนแรงจัดจ้าน มีสาระสำคัญที่เรียกว่า แคปไซซิน (Capsaicin) จะกระตุ้นการหลั่งน้ำลาย ช่วยเจริญอาหาร เลือดไหลเวียนได้ดี ช่วยขับลม แก้หวัด ขับเหงื่อ ป้องกันหลอดเลือดตีบตัน ต้อกระจก และมะเร็งบางชนิด พริกปลูกไว้ข้างบ้านเพียงแค่ 2-3 ต้นเท่านั้ก็เพียงพอต่อการกินของเราแล้ว
10. มะกรูด เรามักจะเคยได้ยินว่า น้ำมะกรูดนำมาสระผมได้ แก้รังแคและคันศีรษะ ทำให้ผมดกดำเงางาม แต่ถ้าเราสามารถนำมากินแก้ไอ แก้เจ็บคอ ใช้แทนยาสีฟัน ทำให้เหงือกแข็งแรง กลิ่นของมะกรูดจะช่วยดับกลิ่นคาวในอาหาร ช่วยไล่มดแมลง และมอดในถังข้าวสารได้ด้วย นอกจากนี้ถ้าเรานำมะกรูดมาตากแห้งแล้วบดเป็นผง จะเป็นยาบำรุงเลือดและเป็นยาระบายได้ด้วย

จะเห็นได้ว่าผักสมุนไพร 10 อย่างนั้น เรามักจะคุ้นเคยกันอยู่แล้ัวตั้งแต่เด็ก หากเรามีวิธีการที่จะปลูกไว้รับประทานเอง หรือว่ามีกระถาง กระบะ หรือว่าอะไรก็ตามเพียงเล็กน้อยที่เราสามารถปลูกเองได้ โดยไม่ต้องไปซื้อหา เพียงเท่านี้เราก็ได้ประโยชน์จากผักสมุนไพร 10 อย่างแน่นอน และภูมิใจที่เราปลูกมากับมือตัวเองด้วยซิ

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โรคหัวใจ อันตรายมาก หากไม่รู้่วิธีป้องกัน

โรคหัวใจ อันตรายมาก หากไม่รู้่วิธีป้องกัน
โรคหัวใจถือว่าเป็นภัยเงียบที่อันตรายมาก โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยตรวจสุขภาพประจำปีแล้วยิ่งอันตรายสุด ๆ มองดูแข็งแรง  แต่เผลอแป๊บเดียวน๊อคไปเสียแล้ว  โรคหัวใจถือว่าเป็นโรคที่มีอันดับต้น ๆ ของโรคที่พบในปัจจุบัน ซึ่งหลาย ๆ คนมองข้ามโรคนี้  
โรคหัวใจเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก  ไม่ใช่ปัญหาเล็ก ๆ หรือเรื่องไกลตัวแม้แต่น้อย เพราะมันคร่าชีวิตผู้คนมานักต่อนักแล้ว และสักวันอาจเป็นตัวคุณเองหรือคนที่คุณรักก็ได้ แม้คุณจะบอกว่าเป็นหนุ่มที่ชอบออกกำลังเป็นชีวิตจิตใจแล้วก็ตาม แต่ก็เห็นแล้วว่าบรรดานักกีฬามืออาชีพหลาย ๆ คน ต้องจบชีวิตโรคด้วยโรคหัวใจ ซึ่งถ้าไม่อยากให้โรคหัวใจมาทำร้ายคนสำคัญในชีวิตคุณ ก็ควรดูแลตัวเองและเพื่อน ๆ ให้ดี ด้วยการเลี่ยงอาหารต้องห้าม สาเหตุของโรคหัวใจเหล่านี้ดูว่าคุณยังมีพฤติกรรมการรับประทานแบบนี้อยู่หรือเปล่า  หากมีอยู่ก็ควรหลีกเลี่ยง 

1. ของทอด

          ของทอดแม้ว่าพวกของทอดรสเข้มข้นกินได้ไม่รู้เบื่อ จะอร่อยจนหลาย ๆ คนติดใจเอามากินไปพลางดูหนังเรื่องโปรดไปพลางกันอยู่เป็นประจำ แต่ถ้าต้องการดูแลระบบหัวใจ ก็ควรหักห้ามใจตัวเองจากของพวกนี้บ้างเถอะนะ เพราะมันมีโซเดียมค่อนข้างมาก ที่จะส่งผลให้ความดันของคุณพุ่งสูงขึ้นได้ง่าย ๆ จนกลายเป็นสาเหตุนำไปสู่โรคหัวใจได้  โดยเฉพาะของมัน ๆ เช่น หนังไก่ทอด แค๊ปหมู ลูกชิ้นทอด มันฝรั่งทอด อะไร ๆ ประมาณนี้


2. เนื้อแดง

          เนื้อแดงช่วงนี้คนรักการกินเนื้อคงต้องลด ๆ การกินเนื้อแล้วหันไปบริโภคผักหรือเนื้อปลาแทนไปก่อนซะแล้ว เพราะเนื้อแดงนั้นเต็มไปด้วยคอเลสเตอรอล ที่จะส่งผลให้เส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงหัวใจมีไขมันอุดตันได้ นอกจากนี้พวกสารก่อมะเร็งที่เกิดขึ้นเวลาคุณย่างสเต็กยังส่งผลกระทบต่อหัวใจอีกต่างหาก ซึ่งเนื้่อแดงนั้นมาจากการเลี้ยงสัตว์ที่มีสารเร่งต่าง ๆ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเต้นผิดปรกติ


3. ขนมปังขาว
          ขนมปังขาวถึงแม้ว่ากากใยอาหารในขนมปัง จะช่วยเรื่องระบบการทำงานของหัวใจได้ดี แต่น้ำตาลที่อยู่ในขนมปังพวกนี้ก็สูงมากพอที่จะทำให้คุณเสี่ยงเป็นโรคหัวใจเอาได้ ซึ่งขนมปังขาวนั้นมีกากใยและสารอาหารเพียงน้อยนิด แต่เต็มไปด้วยน้ำตาลมากมาย ที่พอกินเข้าไปแล้ว ก็จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว คุณจึงควรเลี่ยงของพวกนี้เอาไว้ดีกว่า


4. อาหารที่เต็มไปด้วยไขมัน

          อาหารไขมันนอกจากของพวกนี้จะเป็นตัวการทำลายหุ่นสุดเฟิร์มของคุณแล้ว ยังสร้างความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจให้เพิ่มขึ้นด้วยอีกต่างหาก ซึ่งบางทีหลาย ๆ คนก็รู้ดีถึงจุดนี้อยู่แล้ว แต่เผลอไม่ได้เป็นต้องหยิบของที่อุดมไปด้วยไขมันอย่างพิซซ่าเข้าปากอยู่ดี เพราะรสชาติมันแสนจะยั่วน้ำลายซะเหลือเกิน ดังนั้นควรเลี่ยงไว้แต่เนิ่น ๆ ด้วยการไม่เก็บของพวกนี้ไว้ในบ้าน แต่ซื้อผลไม้มาติดตู้เย็นแก้หิวแทนก็แล้วกัน



5. แอลกอฮอลล์

          แอลกอฮอลล์ ถ้าคุณรู้ตัวว่าเป็นคนที่ชอบดื่มเหล้าสังสรรค์กับเพื่อน ๆ บ่อย ๆ แนะนำให้เพลา ๆ ลงเสียบ้าง เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทั้งหลายไม่ได้แค่ทำลายตับของคุณเท่านั้นหรอกนะ แต่มันส่งผลกระทบต่อหัวใจของคุณด้วย โดยมันจะไปกระตุ้นไตรกลีเซอไรด์เพิ่มไขมันในกระแสเลือด ส่งผลให้การส่งเลือดไปเลี้ยงหัวใจติดขัด อีกอย่างสาว ๆ เขาก็ไม่ชอบผู้ชายขี้เมากันนักหรอก รู้แบบนี้แล้วก็ลด ๆ เสียบ้างเถอะ


          โรคหัวใจ เป็นโรคที่เสี่ยงมาก อันตรายมากที่สุด หากคุณยังรักครอบครัวแล้วละก็  ลองตัดใจอาหารพวกนี้ดู แล้วหมั่นออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ รับรองว่าสุขภาพของคุณจะดีขึ้นแน่นอน ทั้งนี้ใช่ว่าคุณจะต้องตัดขาดจากของอร่อยเสียเมื่อไหร่ เพราะพวกผักผลไม้และเนื้อปลา หากปรุงดี ๆ แล้ว ก็มีเมนูที่ทั้งอร่อยและดีกับสุขภาพได้เหมือนกัน ยังไงก็ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินกันดูนะครับ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเอง

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เม็ดแมงลัก หุ่นสวย สุขภาพดี ประโยชน์มากหากรับประทานถูกวิธี

เม็ดแมงลัก หุ่นสวย สุขภาพดี ประโยชน์มากหากรับประทานถูกวิธี
เม็ดแมงลัก เราคงคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วว่าหน้าตาของเจ้าเม็ดแมงลักเป็นอย่างไร มีลักษณะเป็นเม็ดใส ๆ ข้างใสเห็นเม็ดสีดำ ๆ นั้่นเอง ใส่ในน้ำแข็งใส น้ำหวาน รับประทานช่วงอากาศร้อน ๆ อร่อยเหลือหลาย ซึ่งในปัจจุบันมีผู้คนสนใจการรับประทานอาหารสมุนไพรเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น และสมุนไพรบางตัวยังช่วยในเรื่องการขับถ่าย ส่งผลให้ผู้รับประทานมีผิวพรรณ และรูปร่างที่ดีอีกด้วย ซึ่งเม็ดแมงลักเป็นหนึ่งในเมนูสุขภาพที่มีสาว ๆ ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก เพราะเชื่อกันว่า เม็ดแมงลักมีสรรพคุณช่วยเรื่องการลดความอ้วน แต่การรับประทานเม็ดแมงลักดีจริงหรือไม่ วันนี้ได้ข้อมูลจากกระปุกดอทคอมซึ่งมีข้อมูลดี ๆ มีคำตอบมาฝากกัน

          ก่อนจะไปดูเรื่องสรรพคุณของเม็ดแมงลัก เรามาทำความรู้จักกับต้นแมงลักกันก่อนดีกว่า แมงลัก เป็นพืชล้มลุกในสกุลกะเพรา-โหระพา ลักษณะของต้นแมงลักจะคล้ายต้นกะเพรา แต่กลิ่นและใบจะมีสีอ่อนกว่า ลำต้นของแมงลัก จะสูงประมาณ 65 เซนติเมตร มีกลิ่นหอมทุกส่วน ใบเป็นใบเดี่ยว รูปร่างรี ขอบใบเรียบหรือหยักมน ดอกออกช่ออยู่ปลายยอด กลีบดอกมีสีขาว และร่วงง่าย ผลเป็นผลชนิดแห้ง ภายในมี 4 ผลย่อย เรียกว่า เม็ดแมงลัก มีลักษณะกลมยาวสีดำ มีเมือกห่อหุ้ม


ประโยชนของเม็ดแมงลัก
 
          เม็ดแมงลัก ถือเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีราคาถูก และหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป และเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นสมุนไพร ย่อมต้องมีสรรพคุณดี ๆ ที่น่าสนใจหลายอย่าง ส่วนประโยชน์ของเม็ดแมงลักจะมีอะไรบ้างมาดูกันเลยดีกว่า
 
           เม็ดแมงลัก มีสรรพคุณในการเปลี่ยนคลอเรสเตอรอลไปเป็นกรดน้ำดี และยังเพิ่มการขับออกของกรดน้ำดี จึงสามารถลดระดับคลอเรสเตอรอลได้ ซึ่งจะลดได้เฉพาะระดับของ LDL-cholesterol ซึ่งเป็นไขมันไม่ดี แต่ไม่มีผลใด ๆ ต่อ HDL-cholesterol ที่เป็นไขมันดี ดังนั้นการรับประทานเม็ดแมงลักเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจด้วย

           เม็ดแมงลัก มีลักษณะนิ่ม ลื่น กลืนง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาช่วงลำคอ และการที่เม็ดแมงลักพองตัวมาก ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ช้าลง จึงเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องการให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลลดลงด้วย

           เม็ดแมงลัก มีสรรพคุณเป็นยาระบาย เนื่องจากบริเวณเปลือกนอกของเม็ดเป็นสารเมือก และยังมีกากอาหาร ซึ่งช่วยให้ผู้รับประทานสามารถขับถ่ายได้สะดวกยิ่งขึ้น ดังนั้นเม็ดแมงลัก จึงเหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบกินอาหารที่มีกากหรือเส้นใย เช่น ผัก และผลไม้

           เม็ดแมงลัก มีสรรพคุณในการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า ดังนั้นเมื่อนำมารับประทานก่อนอาหารก็จะช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง และสามารถควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานได้เป็นอย่างดี


การรับประทานเม็ดแมงลักลดความอ้วน

          เม็ดแมงลักอาจไม่ได้มีสรรพคุณในการลดน้ำหนักโดยตรง แต่หากต้องการตัวช่วยเพื่อควบคุมการทานรับประทานอาหาร และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น เม็ดแมงลักก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจนะคะ ทั้งนี้ เม็ดแมงลัก สามารถรับประทานได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ รวมทั้งปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรด้วย


 
 วิธีการรับประทานเม็ดแมงลัก ให้ได้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้
 
           ช่วยเรื่องการระบาย : ตักเม็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชา แช่น้ำ 1 แก้วใหญ่ ทิ้งไว้จนกว่าจะพองเต็มที่ แล้วนำมารับประทานก่อนนอน

           ช่วยเรื่องการลดน้ำหนัก : สำหรับคนน้ำหนัก 50-60 กิโลกรัม ให้ตักเม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา แช่น้ำ 1 แก้วใหญ่  ทิ้งไว้จนกว่าจะพองเต็มที่ ทานก่อนอาหาร ทดแทนอาหารเป็นบางมื้อ ถ้าน้ำหนักมากกว่านี้ให้เพิ่มตามส่วน

          สำหรับคนที่ไม่ชอบทานเม็ดแมงลักแบบจืด ๆ ลองนำไปผสมกับเครื่องดื่มอื่น ๆ ก็อาจทำให้รับประทานได้ง่ายขึ้น เช่น น้ำขิง น้ำใบเตย น้ำเต้าหู้ หรือผสมกับเมนุอาหารอย่างโจ๊ก เป็นต้น 


ข้อควรระวังในการรับประทานเม็ดแมงลัก
 
           ก่อนรับประทานต้องแน่ใจว่าแช่เม็ดแมงลักจนพองตัวเต็มที่แล้ว เพราะถ้ารับประทานเม็ดแมงลักที่ยังพองตัวไม่เต็มที่  เมื่อเม็ดแมงลักลงไปอยู่ในท้องก็จะดูดน้ำภายในช่องทางเดินอาหาร ทำให้เม็ดแมงลักจับตัวเป็นก้อนแข็ง และอุดตันลำไส้ จนทำให้เกิดการท้องผูก และท้องอืดมากขึ้น

           ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก หากรับประทานเม็ดแมงลักแทนมื้ออาหาร ควรเลือกรับประทานในบางมื้อ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เป็นโรคขาดสารอาหารได้ เพราะฉะนั้นหากใครต้องการลดน้ำหนักต้องเข้าใจวิธีการนี้ให้ดีไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิดผลเสีย ขาดสารอาหาร ทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้


           การรับประทานแมงลักพร้อมกับยาตัวอื่น ๆ จะมีผลทำให้ร่างกายดูดซึมยาเหล่านั้นได้น้อยลง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยากับเม็ดแมงลักพร้อม ๆ กัน โดยให้เลือกรับประทานยาก่อนสัก 15 นาที ค่อยตามด้วยการรับประทานเม็ดแมงลัก ไม่เช่นนั้นเท่ากับว่าเรารับประทานยาไม่ได้ผลแน่นอน

          เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับข้อมูลของเม็ดแมงลัก หากเราศึกษาให้ละเอียดก็จะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่กับเกร็ดความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับเม็ดแมงลัก เพียงแค่รับประทานเม็ดแมงลัก เราก็จะมีสุขภาพที่ดีควบคู่ไปกับการมีรูปร่างที่สวยงามด้วย ทั้งนี้ การจะลดน้ำหนักด้วยการรับประทานเม็ดแมงลัก ต้องทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย และการควบคุมอาหาร เนื่องจากเม็ดแมงลักไม่ได้ช่วยเรื่องการเผาผลาญแต่อย่างใด ดังนั้น หากจะรับประทานเม็ดแมงลักให้ได้ผล ควรทำอย่างถูกวิธีน่ะครับพี่น้อง

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หัวเผือก-หัวมัน-แห้ว-มันแกว ป้องกันโรคหัวใจ บำรุงสมอง

หัวเผือก-หัวมัน-แห้ว-มันแกว ป้องกันโรคหัวใจ บำรุงสมอง 
กินแห้ว คำ ๆ นี้ หลาย ๆ คนไม่ชอบเลยสำหรับอาหารชนิดนี้ แต่จะมีบ้างไหมที่รู้ว่าแห้วนั้นมีประโยชน์อย่างไร สำหรับสาว ๆ ที่รักหุ่นเท่าชีวิตต้องเลิก "ไดเอต ไดอด" ได้แล้ว เพราะการไม่กินข้าวเย็น งดแป้ง เลี่ยงน้ำตาล อาจทำให้ขาดสารอาหารได้ และสำหรับใครที่ชอบกินขนมจุบจิบ "มัน" ช่วยคุณได้แน่นอน วันนี้ เรามีเกร็ดเล็กน้อยถึงประโยชน์ของพืชหัวมาฝาก แม้ว่าจะยกขบวนมาไม่หมดทุกชนิด แต่ก็รับรองว่าพืชหัว 4 ชนิดต่อไปนี้คือ มันฝรั่ง มันแกว แห้ว และเผือก ซึ่งเราคัดเฉพาะมานี้ดีต่อสุขภาพแน่นอน มีประโยชน์แม้จะทำเป็นของทานเล่น หรือนำไปปรุงเป็นเมนูหลักสุดโปรด
1.มันฝรั่งบำรุงสมอง (Potato)
          มันฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินบี 6 ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมองให้ผลิตสารสื่อประสาทอย่างเป็นปกติ เช่น เซโรโทนิน สารสื่อประสาทที่ช่วยกระตุ้นอารมณ์ และกาบา สารสื่อประสาทที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และอะดรีนาลีน สารสื่อประสาทที่ช่วยลดความเครียด ปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวันคือ ½ -1 ถ้วยตวง (ทั้งประเภทบด และต้มกินทั้งหัว) ไม่ควรกินเกินกว่านี้ เพราะมีกรดแอล-แอสคอร์บิกอยู่ (หรือวิตามินซี) จะทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารจนรู้สึกท้องอืด ท้องเฟ้อ

2.มันแกวป้องกันโรคหัวใจ (Jicama)          มันแกวนั้นประกอบด้วยกรดโฟลิกช่วยคุมปริมาณสารโฮโมซีสทีนในเลือดไม่ให้สูงเกินไป เพราะหากร่างกายมีสารโฮโมซีสเตอีนอยู่ในปริมาณสูงเกินไป หลอดเลือดจะถูกทำลาย โดยเฉพาะหลอดเลือดขนาดเล็ก เช่น หลอดเลือดหัวใจ ผลคือ หลอดเลือดจะตีบ และอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนอาจตายเพราะเลือดไม่ไหลเวียน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน ปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวัน คือ 1 ถ้วยตวง (120 กรัม)

3.เผือกบำรุงกระดูกและฟัน (Taro Root)          เผือกช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง เพราะมีแคลเซียมสูง แต่เผือกดิบมีกรดออกซาลิกสูง ซึ่งเป็นกรดที่ดักจับแคลเซียมในอาหาร ก่อนกินจึงต้องผ่านกระบวนการความร้อนก่อนทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการต้ม อบ คั่ว ทอด หรือนึ่ง เพื่อเจือจางปริมาณกรดออกซาลิก เพราะหากไม่ได้นำไปทำให้สุกก่อน กรดออกซาลิกจะจับตัวกับแคลเซียมไปสะสมที่ไตในรูปของแคลเซียมออกซาเลต มีลักษณะเป็นก้อนนิ่วที่อาจส่งผลให้เกิดโรคนิ่วในไต และโรคเก๊าท์ (ข้อต่ออักเสบ) ได้ในที่สุด ปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวันคือ ½ -1 ถ้วยตวง

4.แห้วบำรุงมวลกล้ามเนื้อ (Water Chestnut)          แห้วที่ใครหลาย ๆ คนไม่ชอบเอาซะเลย  แต่มีผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยรัฐโคโลราโด เผยว่า การบริโภคแร่ธาตุโพแทสเซียมประมาณ 4.7 กรัมต่อวัน จะช่วยบำรุงระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาทให้ทำงานเป็นปกติ แห้วจึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี เพราะแห้วเพียง ½ ถ้วยตวง ก็อุดมด้วยโพแทสเซียมสูงถึง 360 มิลลิกรัมแล้ว ปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวันคือ ½ -1 ถ้วยตวง

          มันฝรั่ง มันเทศ มันแกว เผือก และแห้ว ถือเป็นผักที่อุดมด้วยสตาร์ช (Starch) หรือคาร์โบไฮเดรตที่เกิดขึ้นเองจากการสะสมตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังถือเป็นผักที่เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุชั้นดีอีกด้วย หากวันนี้คุณยังนึกไม่ออกว่ายังไม่ได้กินสารอาหารหมู่ใด ลองนำพืชหัวเหล่านี้ไปดัดแปลงเป็นเมนู เช่น ซุปมันฝรั่ง สตูว์มันฝรั่ง สลัดมันแกว มันย่าง มันเทศต้ม เผือกต้ม รับรองว่าคุณก็จะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนแน่นอน   ทีนี้หากใครพูดว่า กินแห้ว ก็ไม่ต้องไปโกรธเขาน่ะครับ เพราะว่าแห้วมันมีประโยชน์มาก ๆ ขอบอก